เครื่องเติมอากาศบริสุทธิ์ที่ว่านี้น่าสนใจอยู่ แต่ที่น่าสนใจกว่าก็คือ ความเป็นมาของมันครับ คุณประสาธน์ บอกว่า มันเกิดขึ้นได้เพราะปัญหาที่ต้องเผชิญอยู่ทุกวันระหว่างที่ประกอบธุรกิจขนส่งสินค้า แล้วมีสำนักงานอยู่ใต้ทางด่วนบริเวณถนนอาจณรงค์ใกล้กรมศุลกากรและท่าเรือ เป็นบริเวณที่มีมลพิษสูงมาก ทั้งควันจาก ไอเสียรถยนต์บนทางด่วน และรถบรรทุกที่วิ่งเข้าออกท่าเรือตลอดวันตลอดคืน
สำนักงานเดิมของคุณประสาธน์เป็นอาคารพาณิชย์ 4 ห้องทะลุกัน บริเวณทำงานชั้น 2 และชั้น 3 มีพนักงานทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก จำเป็นต้องระบายอากาศเพื่อนำออกซิเจนเข้าไปในห้อง แต่อากาศที่เข้าไปแทนที่ได้นำเอาฝุ่นละอองและมลพิษทางอากาศเข้าไปในห้องด้วย
"ผมถามตัวเองอยู่เสมอว่า พวกเราที่ต้องฝังตัวเองอยู่สำนักงานแบบนี้วันละ 7-8 ชั่วโมงจะทนอยู่ต่อไปได้นานเท่าไร ถ้าพวกเราแก่ตัวลงสุขภาพของเราจะเป็นเช่นไรจะมีโอกาสมีความสุขกับเงินทองที่หามาได้หรือต้องใช้เงินทั้งหมดในการรักษาตัวในบั้นปลายชีวิตกันแน่"
|
คุณประสาธน์คิดกระทั่งว่า อาจจำเป็นต้องหาทางย้ายสำนักงานใหม่อีกหน ทั้งๆ ที่เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นั่นใหม่ๆ ถ้าหากไม่บังเอิญเพื่อนรายหนึ่งที่เดินทางมาเยี่ยม บอกทางสว่างในการแก้ปัญหาให้ว่า ควรหาทางระบายอากาศออกพร้อมกับเติมอากาศบริสุทธิ์เข้าไปใหม่โดยตรง เพราะเห็นด้วยกับหลักการดังกล่าวจึงเดินเข้าไปหาความรู้ในห้องสมุดของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ที่คุณประสาธน์เรียนในระดับปริญญาตรีอยู่ในเวลานั้น ได้วิธีการสร้างเครื่องเติมอากาศมา
"หลังจากลองผิดลองถูกอยู่สักพัก ผมก็ได้ความคิดว่า น่าจะผนวกเอาระบบ Positive Pressure Room ตามมาตรฐานของห้องปลอดเชื้อเข้าไปด้วย คราวนี้ผมประสบความสำเร็จ ผมได้อากาศที่มนุษย์เราควรจะใช้หายใจได้ ให้แก่ทีมงานของผม หลังจากติดตั้งเครื่องต้นแบบไปแล้ว ฝุ่นละอองและกลิ่นไม่พึงปรารถนาต่างๆ ภายในสำนักงานก็หายไปอย่างสิ้นเชิง แม่บ้านไม่ต้องเช็ดโต๊ะวันละสองหนอีกต่อไป หัวที่ชอบมึนตึ้บๆ จมูกที่แสบคันตลอดเวลา ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ทีมงานทุกคนก็สดใสขึ้นตามๆ กัน ทุกวันนี้แม้อากาศภายนอกจะเลวร้ายเพียงใด อากาศภายในสำนักงานก็เป็นสวรรค์บนดินของพวกเรา"
จากนั้นก็ลองเอาไปจดสิทธิบัตรปรากฏว่าผ่านได้รับสิทธิบัตรมาอย่างไม่คาดฝัน จนได้ชื่อว่าเป็นนักประดิษฐ์กับเขาคนหนึ่ง
|
จากการทำเพื่อแก้ปัญหาสำนัก งาน คุณประสาธน์ขยายมาทำใช้ที่บ้าน สำนักงานของเพื่อนที่เป็นห้องอัดเสียง ทดลองใช้ระบบนี้อยู่ 7 ปี และใช้เวลาพัฒนาต่ออีก 2 ปี ก็ได้เครื่องเติมอากาศบริสุทธิ์ครบถ้วนอย่างที่ใจต้องการ มีระบบควบคุมที่ทันสมัยติดตั้ง ใช้งานได้ง่ายและมีราคาถูก กลายเป็นเครื่องเติมอากาศบริสุทธิ์ จี-ไลฟ์ นี่เอง
เขายืนยันด้วยว่า จากวันที่เริ่มต้นคิดเครื่องนี้ เรื่อยมาจนถึงวันนี้ สภาพแวด ล้อมเลวร้ายลงไปทุกขณะ ยิ่งเมื่อดูสถิติผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจก็ยิ่งน่าตกใจ ที่มีผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น 4 เท่าในรอบ 10 ปี ตามรายงานของแพทย์
"ผมหวังว่าเครื่องที่ผมสร้างขึ้นมานี้จะช่วยให้คนที่ต้องอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ที่สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษ โดยเฉาะเด็กๆ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีความสุขกับอากาศดีๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของการมีสุขภาพดี คือ อากาศดี อาหารดี ออกกำลังกายพอดี และมีอารมณ์ดี"
"จี-ไลฟ์" ไม่ใช่เครื่องฟอกอากาศทั่วไป เพราะมี 2 ระบบอยู่ในตัวเดียวกัน คือ ระบบกรองอากาศหรือฟอกอากาศจาก "ภายนอก" พร้อมทั้งฆ่าเชื้อโรคแล้วส่งอากาศดีเข้าไปในห้องโดยตรง เป็นการเพิ่มอากาศใหม่บริสุทธิ์ที่ปราศจากเชื้อโรค และมีปริมาณออกซิเจนที่พอเหมาะต่อการหายใจให้แก่ห้องปรับอากาศ ซึ่งแตกต่างจากเครื่องฟอกอากาศทั่วไปที่เป็นเพียงระบบหมุนเวียนอากาศเฉพาะภายในห้องเท่านั้น ไม่มีการเติมอากาศดีจากภาย นอก นอกจากนั้นยังใช้ระบบ Positive Pressure Room ซึ่งเป็นระบบของห้องปลอดเชื้อ ช่วยปกป้องห้องปรับอากาศจากเชื้อโรคและมลพิษภายนอกอีกด้วย
ดร.ศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กล่าวว่า เครื่องเติมอากาศบริสุทธิ์ จี-ไลฟ์นี้เป็นนวัตกรรมของคนไทยที่ได้รับประกาศเกียรติคุณจากสำนักนวัตกรรมแห่งชาติกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เนื่องจากทางสำนักงานเล็งเห็นว่าเป็นสินค้านวัตกรรมที่มีศักยภาพสามารถนำไปใช้ได้จริงและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ด้วยระบบที่ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานเดียวกับ ห้องคลีนรูม หรือห้องปลอดเชื้อในการผ่าตัดของโรงพยาบาลเลยทีเดียว
ก็ถือว่าเป็นสินค้าไทยๆ ที่น่าสนใจมากตัวหนึ่งสำหรับภาวะแวดล้อมในเมืองไทยเราในปัจจุบัน ใครสนใจ รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่คอลล์เซ็นเตอร์ 0-2712-5070
แหล่งข่าว :: หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน