บทคัดย่อ
เรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เพื่อส่งเสริมความสามารถการอ่านออก
เสียงต้นและเสียงท้ายพยางค์คำศัพท์ ในระดับคำ ประโยค และบทอ่าน ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ผู้วิจัย นางสาวชมพูนุช พราหมณะนันทน์
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะครูชำนาญการ
หน่วยงานที่สังกัด โรงเรียนเทศบาล 1 (เยี่ยมเกษสุวรรณ) เทศบาลนครสมุทรปราการ
จังหวัดสมุทรปราการ
ระยะเวลาที่ทำการวิจัย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557
การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling)ใช้เวลาในการทดลอง 20 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 10 บทเรียน แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 10 แผนการจัดการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยระหว่าง 4.54 - 4.82 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ มีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.57-0.77 ค่าอำนาจจำแนก 0.37-0.57 และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ค่าเฉลี่ย ค่าเฉลี่ยร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบสมมุติฐานโดยใช้ค่า t-test Dependent วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป
ผลการวิจัย พบว่า
1. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนการอ่านออกเสียงต้นและเสียงท้ายพยางค์คำศัพท์ ในระดับคำ ประโยค และบทอ่าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ 80.83 / 81.83
เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
2. นักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การอ่านออกเสียงต้นและเสียงท้าย
พยางค์คำศัพท์ในระดับคำ ประโยค และบทอ่าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การอ่านออกเสียงต้นและเสียงท้ายพยางค์คำศัพท์ ในระดับคำ ประโยค และบทอ่าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ทุกข้อนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ย ( =4.45,S.D.=.52)