ชื่อผลงานทางวิชาการ การประเมินโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน โรงเรียนสุเหร่าหะยีมินา ปีการศึกษา 2559
ชื่อผู้เสนอผลงาน นายชาคริส พรมมหาชัย ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสถานศึกษา วิทยฐานะ รองผู้อำนวยการชำนาญการ
บทคัดย่อ
การประเมินโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านโรงเรียนสุเหร่าหะยีมินา ปีการศึกษา2559 ใช้รูปแบบซิปป์ (CIPP Model) ของเดเนียล แอล สตัฟเฟิลบีม (Daniel L.Stufflebeam) โดยประเมิน 4 ด้าน ได้แก่ 1) การประเมินด้านบริบท(Context Evaluation) ๒)การประเมินด้านปัจจัยนำเข้า(Input Evaluation) ๓) การประเมินด้านกระบวนการ(Process Evaluation) และ ๔)การประเมินด้านผลผลิต (Product Evaluation)
กลุ้มเป้าหมายในการประเมินครั้งนี้ประกอบด้วยผู้บริหารและคณะครู จำนวน 36 คน นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 6 จำนวน 112 คน และผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 112 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับและแบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียน การวิเคราะห์ข้อมูลในการประเมินใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปวิเคราะห์ค่าสถิติ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ ค่าความถี่
ผลการประเมินโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านโรงเรียนสุเหร่าหะยีมินาปีการศึกษา 2559 พบว่าโดยภาพรวมมีระดับความสำเร็จอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดได้แก่ ด้านกระบวนการ(Process) มีการปฏิบัติในระดับมากที่สุด รองลงมาคือด้านผลผลิต(Product) มีผลสำเร็จในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านมีผลการประเมินดังนี้
1. ผลการประเมินโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านโรงเรียน สุเหร่าหะยีมินา ปีการศึกษา 2559 ด้านบริบท(Context) โดยรวมมีระดับความสอดคล้องอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายข้อพบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดได้แก่วัตถุประสงค์ของโครงการตอบสนองต่อนโยบายของกรุงเทพมหานครและนโยบายการศึกษาของชาติ มีความสอดคล้องในระดับมากที่สุด รองลงมาได้แก่วัตถุประสงค์ของโครงการตอบสนองต่อความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครองและชุมชน มีความสอดคล้องในระดับมาก ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์การตัดสินความสำเร็จของโครงการที่ผู้ประเมินกำหนด
2. ผลการประเมินโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านโรงเรียนสุเหร่าหะยีมินา ปีการศึกษา 2559 ด้านปัจจัยนำเข้า(Input)โดยรวมมีระดับความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดได้แก่ปัจจัยนำเข้าด้านงบประมาณ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากรองลงมาคือปัจจัยนำเข้า ด้านบุคลากร มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดได้แก่ผู้มีส่วนร่วมให้ความร่วมมือในการดำเนินงานโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุดรองลงมา คืองบประมาณที่ได้รับสนับสนุนจากต้นสังกัดเพียงพอมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ผลการประเมินโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านโรงเรียนสุเหร่าหะยีมินา ปีการศึกษา 2559 ด้านปัจจัยนำเข้า(Input) โดยรวมสูงกว่าเกณฑ์การตัดสินความสำเร็จของโครงการที่ผู้ประเมินกำหนด
3. ผลการประเมินโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านโรงเรียนสุเหร่าหะยีมินา ปีการศึกษา 2559 ด้านกระบวนการ(Process)โดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดได้แก่ ขั้นการตรวจสอบ (C : Check) มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ขั้นปฏิบัติตามแผน (D : Do) มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ ขั้นวางแผน(P : Plan) มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า โรงเรียนสร้างแรงจูงใจและชี้แนะผู้ปกครองส่งเสริมสนับสนุนให้นักเรียนมีนิสัยรักการอ่าน มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ผู้ปกครองมีส่วนร่วมและให้ความร่วมมือในการดำเนินโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านอย่างต่อเนื่อง มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด ผลการประเมินโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านโรงเรียนสุเหร่าหะยีมินา ปีการศึกษา 2559 ด้านกระบวนการ(Process) โดยรวมสูงกว่าเกณฑ์การตัดสินความสำเร็จของโครงการที่ผู้ประเมินกำหนด
4. ผลการประเมินโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านโรงเรียนสุเหร่าหะยีมินา ปีการศึกษา 2559 ด้านผลผลิต(Product)โดยรวมมีผลสำเร็จอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายข้อพบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดได้แก่นักเรียนเห็นความสำคัญของการอ่านหลังจากเข้าร่วมกิจกรรม มีผลสำเร็จอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือนักเรียนรู้จักเลือกหนังสืออ่านได้หลากหลายมากขึ้น มีผลสำเร็จอยู่ในระดับมากที่สุด ผลการประเมินโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านโรงเรียนสุเหร่าหะยีมินา ปีการศึกษา 2559 ด้านผลผลิต(Product) โดยรวมสูงกว่าเกณฑ์การตัดสินความสำเร็จของโครงการที่ผู้ประเมินกำหนด ผู้ตอบแบบสอบถามมีความพึงพอใจต่อการดำเนินกิจกรรมตามโครงการทั้ง 15 กิจกรรมอยู่ในระดับมาก ด้านผลการทดสอบการอ่านของนักเรียนพบว่านักเรียนมีผลการทดสอบการอ่านได้คล่อง และอ่านได้ เพิ่มขึ้นจากปีการศึกษา 2558 สถิติการเข้าใช้ห้องสมุดของนักเรียนมีจำนวนเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบ 3 ปีย้อนหลัง พบว่าปีการศึกษา 2559 มีสถิติการเข้าใช้ห้องสมุดมากกว่าปีการศึกษา 2557 และ 2558 ตามลำดับ และพฤติกรรมการนิสัยรักการอ่าน โดยรวมร้อยละ 92.84 เมื่อพิจารณาการเข้าร่วมกิจกรรมที่ครูประจำชั้นสังเกตได้ พบว่าการเข้าร่วมกิจกรรมพบว่า 10 นาทีมหัศจรรย์ สร้างลูกรักการอ่าน มีร้อยละของการประเมินสูงที่สุดคือมีร้อยละ 96.33 รองลงมาได้แก่การเข้าร่วมกิจกรรมก้าวแรกนักอ่าน ร้อยละ 92.04 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์การประเมินที่ตั้งไว้คือร้อยละ 75 ถือว่าผ่านเกณฑ์การประเมิน