รายงานการวิจัย: การพัฒนาและประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอน แบบเรียนการคิดเชิงระบบ
ทางคณิตศาสตร์ เรื่องการประยุกต์ใช้อย่างยั่งยืนสำหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กรณีศึกษา : โรงเรียนขยายโอกาสศูนย์เครือข่ายโรงเรียน
ชุมแพ
ผู้รายงาน: บุญมี เลิศศึกษากุล
สถานศึกษา: โรงเรียนบ้านหนองบัวโนนเมือง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
ขอนแก่น เขต 5
ปีที่วิจัย: พ.ศ.2560
บทคัดย่อ
ในการวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาการพัฒนาแบบเรียนการคิดเชิงระบบทางคณิตศาสตร์ เรื่องการประยุกต์ใช้ อย่างยั่งยืนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผล แบบเรียนการคิดเชิงระบบทางคณิตศาสตร์ เรื่องการประยุกต์ใช้อย่างยั่งยืนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ต่อการนำไปใช้พัฒนาการเรียนการสอน 3) เพื่อศึกษาประสิทธิผลด้านประสิทธิภาพของแบบเรียนการคิดเชิงระบบทางคณิตศาสตร์ เรื่องการประยุกต์ใช้อย่างยั่งยืนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 4) เพื่อศึกษาประสิทธิผลด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ วิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2เป็นการวิจัยและพัฒนา และปฎิบัติการแบบมีส่วนร่วม ประชากรกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้อำนวยการโรงเรียน คณะครู นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และผู้ปกครองนักเรียน รวม 101 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัย ได้แก่ แบบเรียนการคิดเชิงระบบทางคณิตศาสตร์ เรื่องการประยุกต์ใช้ อย่างยั่งยืนแบบสอบถาม และแบบทดสอบ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่า t- test โดยใช้คอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ประเด็นข้อค้นพบ พร้อมนำเสนอ
ผลการวิจัยพบว่า
1. การพัฒนาแบบเรียนการคิดเชิงระบบทางคณิตศาสตร์ เรื่องการประยุกต์ใช้ อย่างยั่งยืนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2โดยภาพรวมมีระดับความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด
2. ประสิทธิผลแบบเรียนการคิดเชิงระบบทางคณิตศาสตร์ เรื่องการประยุกต์ใช้อย่างยั่งยืนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ต่อการนำไปใช้พัฒนาการเรียนการสอนโดยภาพรวมมีระดับประสิทธิผลอยู่ในระดับมาก
3. ประสิทธิผลด้านประสิทธิภาพของแบบเรียนการคิดเชิงระบบทางคณิตศาสตร์ เรื่องการประยุกต์ใช้อย่างยั่งยืนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.61/85.84
4. ประสิทธิผลด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ ของนักเรียนในโรงเรียนศูนย์เครือข่ายโดยคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01