ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามโมเดลพุทธิปัญญาเพื่อส่งเสริมการรู้มโนทัศน์และการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3

การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามโมเดลพุทธิปัญญาเพื่อส่งเสริมการรู้มโนทัศน์และการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน 2) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ 75/75 3) ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ การดำเนินการแบ่งออกเป็น 4 ขั้น คือ ขั้นที่ 1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐานใน 5 ส่วน คือ 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ 2) เป้าหมายของการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 3) ความต้องการในการพัฒนาการรู้มโนทัศน์และการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 4) แนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการรู้มโนทัศน์และการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์จากผู้เชี่ยวชาญ และ 5) เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ขั้นที่ 2 พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้และคู่มือการใช้ แล้วนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสม และวิเคราะห์ผลด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จากนั้นเลือกออกแบบการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น ในหน่วยการเรียนรู้เรื่องอัตราส่วน สัดส่วน และร้อยละ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เพื่อทดสอบประสิทธิภาพแบบภาคสนาม และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยการวิเคราะห์ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการต่อประสิทธิภาพของของผลลัพธ์ (E1/E2) ขั้นที่ 3 เป็นการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาลบ้านค่าย ปีการศึกษา 2561 จำนวน 46 คน ได้มาจากการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้มีทั้งหมด 4 ชุด 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นในหน่วยการเรียนรู้เรื่องอัตราส่วน สัดส่วน และร้อยละ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2) แบบทดสอบวัดการรู้มโนทัศน์เรื่องอัตราส่วน สัดส่วน และร้อยละ 3) แบบทดสอบวัดการแก้ปัญหาเรื่องอัตราส่วน สัดส่วน และร้อยละ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยเริ่มจากทดสอบวัดการรู้มโนทัศน์และการแก้ปัญหาเรื่องอัตราส่วน สัดส่วน และร้อยละก่อนเรียน จากนั้นจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น และทดสอบวัดการรู้มโนทัศน์และการแก้ปัญหาเรื่องอัตราส่วน สัดส่วน และร้อยละหลังเรียน พร้อมทั้งสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น และขั้นที่ 4 เป็นการนำผลการทดลองใช้ที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ด้วยการเปรียบเทียบการรู้มโนทัศน์และการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยสถิติทดสอบ t ระหว่างกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน (t – test for dependent samples) และการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยการเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนด ด้วยสถิติทดสอบ t แบบกลุ่มตัวอย่าง 1 กลุ่ม (t – test for one sample)

ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้

1. นักเรียนมีความต้องการพัฒนาตนเองให้มีความรู้ความเข้าใจในมโนทัศน์ของแต่ละเรื่อง พร้อมทั้งนำความรู้เหล่านั้นไปใช้แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่หลักสูตรกำหนด และครูต้องมีการปรับกระบวนการจัดการเรียนรู้

2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามโมเดลพุทธิปัญญาเพื่อส่งเสริมการรู้มโนทัศน์และการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบ่งเป็น 2ส่วน คือ 1) การเตรียมก่อนจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 1.1) การกำหนดโมเดลพุทธิปัญญา 1.2) การเตรียมมโนทัศน์และตัวอย่าง 1.3) การเตรียมสถานการณ์ปัญหา 1.4) การเตรียมเกมทางคณิตศาสตร์ และ 1.5) การเตรียมเครื่องมือในการวัดและประเมินผล และ 2) การจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 5 ขั้น คือ ขั้นที่ 1 เปิดสมองต้อนรับการเรียนรู้ (Welcome) ขั้นที่ 2 แจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ (Objective) ขั้นที่ 3 พัฒนามโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ (Concept) ขั้นที่ 4 ฝึกการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ (Solving) และขั้นที่ 5 ประเมินผลการเรียนรู้ (Assessment) และ 4) เงื่อนไขการนำรูปแบบไปใช้ ซึ่งรูปแบบการจัดการเรียนรู้นี้มีประสิทธิภาพ 78.25/75.26

3. ผลการประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามโมเดลพุทธิปัญญาเพื่อส่งเสริมมโนทัศน์และการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 พบว่า

3.1) นักเรียนมีคะแนนการรู้มโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์หลังเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้

3.2) นักเรียนมีคะแนนการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์หลังเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้

3.3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยต่อการเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมากขึ้นไป อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้

โพสต์โดย ครูเปิ้ล : [8 ก.พ. 2562 เวลา 03:57 น.]
อ่าน [3446] ไอพี : 134.236.11.10
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 9,316 ครั้ง
กุญแจไขโจทย์คุณภาพการศึกษาไทย
กุญแจไขโจทย์คุณภาพการศึกษาไทย

เปิดอ่าน 54,865 ครั้ง
เลี้ยง-เล่นอย่างสร้างสรรค์ “สมาธิสั้น” รับมือได้
เลี้ยง-เล่นอย่างสร้างสรรค์ “สมาธิสั้น” รับมือได้

เปิดอ่าน 20,831 ครั้ง
ปัญหาการศึกษาไทย...อยู่ตรงไหน?
ปัญหาการศึกษาไทย...อยู่ตรงไหน?

เปิดอ่าน 19,527 ครั้ง
(ก.ค.ศ.)การศึกษาตัวแปรที่สัมพันธ์กับความสำเร็จในการประกอบวิชาชีพครู
(ก.ค.ศ.)การศึกษาตัวแปรที่สัมพันธ์กับความสำเร็จในการประกอบวิชาชีพครู

เปิดอ่าน 17,637 ครั้ง
ชื่นฉ่ำกับผลไม้ประจำฤดูกาล
ชื่นฉ่ำกับผลไม้ประจำฤดูกาล

เปิดอ่าน 73,910 ครั้ง
อนาคตที่เป็นไปได้ เริ่มต้นที่ความใส่ใจของคุณครูทุกคน
อนาคตที่เป็นไปได้ เริ่มต้นที่ความใส่ใจของคุณครูทุกคน

เปิดอ่าน 53,990 ครั้ง
พิชิตคณิตให้เป็นเรื่องง่าย
พิชิตคณิตให้เป็นเรื่องง่าย

เปิดอ่าน 860,471 ครั้ง
ประมวลศัพท์ คำพ้องรูป ในภาษาไทย ที่ควรรู้
ประมวลศัพท์ คำพ้องรูป ในภาษาไทย ที่ควรรู้

เปิดอ่าน 17,040 ครั้ง
7 วิธี"เอื้อเฟื้อ"เพื่อนบ้านอย่างง่าย พลิกให้ชุมชนน่าอยู่
7 วิธี"เอื้อเฟื้อ"เพื่อนบ้านอย่างง่าย พลิกให้ชุมชนน่าอยู่

เปิดอ่าน 25,755 ครั้ง
คู่มือการบริหารงานบุคคลสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ของ กศจ.(เอกสารประกอบการประชุม VDO Conference)
คู่มือการบริหารงานบุคคลสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ของ กศจ.(เอกสารประกอบการประชุม VDO Conference)

เปิดอ่าน 17,700 ครั้ง
10 เส้นทางสุดฮอตเที่ยวไทยปี"54 ที่มาแรง
10 เส้นทางสุดฮอตเที่ยวไทยปี"54 ที่มาแรง

เปิดอ่าน 29,428 ครั้ง
ใส่หลอดในขวดซอสมะเขือเทศจะทำให้เทออกง่าย
ใส่หลอดในขวดซอสมะเขือเทศจะทำให้เทออกง่าย

เปิดอ่าน 13,104 ครั้ง
5 อาการเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
5 อาการเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมอง

เปิดอ่าน 19,724 ครั้ง
อริยสัจ 4
อริยสัจ 4

เปิดอ่าน 14,877 ครั้ง
Web 2.0
Web 2.0

เปิดอ่าน 19,029 ครั้ง
เรื่องของกลิ่นปาก
เรื่องของกลิ่นปาก
เปิดอ่าน 37,757 ครั้ง
สูตรลับการคูณแม่ 9 โดยใช้นิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว(สุดยอดครับ)
สูตรลับการคูณแม่ 9 โดยใช้นิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว(สุดยอดครับ)
เปิดอ่าน 10,528 ครั้ง
วิตามินอี ความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
วิตามินอี ความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
เปิดอ่าน 7,500 ครั้ง
ปัญหาอมตะครูไทย เร่งแก้ก่อนการศึกษาดำดิ่ง
ปัญหาอมตะครูไทย เร่งแก้ก่อนการศึกษาดำดิ่ง
เปิดอ่าน 13,541 ครั้ง
เผยอีโคไลตัวใหม่ ทนยาปฏิชีวนะ ถึงตายได้
เผยอีโคไลตัวใหม่ ทนยาปฏิชีวนะ ถึงตายได้

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ