ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ข่าวการศึกษา     ความรู้ทั่วไป     งานราชการ/รัฐวิสาหกิจ/บริการสังคมข่าวการศึกษา  ▶ ข่าว/บทความ ▶ หน้าแรก

"ข้อสอบเอื้อต่อสถาบันกวดวิชา ธุรกิจกวดวิชาจึงเจริญเติบโต" คุณครูคิดอย่างไร กับข้อความนี้


ข่าวการศึกษา 16 มี.ค. 2558 เวลา 14:14 น. เปิดอ่าน : 5,522 ครั้ง
"ข้อสอบเอื้อต่อสถาบันกวดวิชา ธุรกิจกวดวิชาจึงเจริญเติบโต" คุณครูคิดอย่างไร กับข้อความนี้

Advertisement

ผู้ปกครองจ๊าก!กวดวิชาขึ้นค่าเรียนสะท้อนการศึกษาไทยเหลว

 

โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์

 

 

มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เห็นชอบให้เก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล 20% กับโรงเรียนกวดวิชา โดยอ้างเหตุผลว่ามุ่งทางการค้าแสวงหากำไร จึงต้องสร้างความเป็นธรรมให้ทัดเทียมธุรกิจอื่น ส่งผลให้บรรดาโรงเรียนกวดวิชาหลายแห่งเตรียมขยับขึ้นค่าเรียนตาม

รัฐบาลคาดการณ์หากถอนขนห่านธุรกิจติวเตอร์นี้ได้ จะมีเงินไหลเข้ารัฐปีละ 1,200 ล้านบาท จากโรงเรียนกวดวิชาที่จดทะเบียนกับทางการ 2,379 โรงเรียน แบ่งเป็นกรุงเทพมหานคร (กทม.) 549 แห่ง ภูมิภาค 1,830 แห่ง

ตามขั้นตอนคาดว่า ปีหน้าจะเริ่มขึ้นค่าเรียนได้ เพราะต้องให้มีการออกกฎหมายการจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาก่อน

เสียงสะท้อนจากเจ้าของโรงเรียนกวดวิชาอย่าง อนุสรณ์ ศิวกุล นายกสมาคมผู้บริหารและครูโรงเรียนกวดวิชา หรืออาจารย์เจี๊ยบ จากโรงเรียนกวดวิชาชื่อดัง “เคมี อ.อุ๊” ระบุว่า การเก็บภาษีครั้งนี้กระทบต่อโรงเรียนกวดวิชาแน่นอน ผู้ประกอบการอาจจำเป็นต้องผลักภาระให้ผู้ปกครองทั้งที่ไม่อยากขึ้นค่าเรียน แต่เพราะกรมสรรพากร จึงทำให้ต้องทำแบบนี้

อีกด้านถ้าไม่ขึ้นค่าเรียนก็อาจมีโรงเรียนกวดวิชาบางแห่งยุบสาขา หรือล้มหายไปเพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยอดผู้เรียนลดลงอย่างต่ำ 20% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อของผู้บริโภคจึงลดลงไปด้วย

“เมื่อ ครม. มีมติเห็นชอบแล้ว ตอนนี้ทำได้เพียงแค่รอว่าจะมีการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้ใช้กฎหมายนี้เมื่อไหร่เท่านั้น ส่วนตัวคิดว่าการเก็บภาษียังไม่ควรเริ่มเร็วๆ นี้ เร็วสุดก็น่าจะเป็นปีหน้า เพราะยังติดกฎระเบียบอีกมากมายซึ่งยังไม่มีความชัดเจน เช่น การทำบัญชีในกรณีที่บางโรงเรียนมีถึง 20-30 สาขา จะต้องทำอย่างไร”

อนุสรณ์ ระบุว่า กลุ่มที่โดนเก็บภาษีครั้งนี้เป็นกลุ่มที่ปฏิบัติตามระเบียบ มีฐานข้อมูลในรายชื่อของกระทรวงศึกษาธิการ แต่ส่วนกลุ่มติวเตอร์ที่รับสอน ซึ่งไม่เคยเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา ต้นทุนก็ไม่ต้องลง ทุกวันนี้ก็อยู่รอดปลอดภัย ไม่ต้องเสียภาษี นี่คือสิ่งที่รัฐบาลควรทำก่อนเป็นอันดับแรกๆ แต่ทำไมถึงยังไม่ทำ

เขาบอกว่า ความจริงปัญหาเรื่องการศึกษามีมาในหลายยุคหลายสมัยแล้ว แต่รัฐบาลชุดก่อนไม่ได้แก้ปัญหาโดยใช้แนวทางจัดเก็บภาษีอย่างนี้ เพราะเห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ต้นเหตุจริงๆ อยู่ที่ระบบการศึกษาที่ยังต้องพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพให้ทั่วถึง

“ต่อให้ไม่มีโรงเรียนกวดวิชา ทุกคนก็จะแสวงหาสิ่งที่ทำให้เกิดคุณภาพต่อตัวผู้เรียนอยู่ดี ซึ่งส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นอยู่ดี หรือจะบอกว่าตัดโรงเรียนกวดวิชา แล้วให้โรงเรียนในระบบสอนพิเศษเย็นกับวันเสาร์ไปด้วย กลายเป็นว่าโรงเรียนในระบบก็ทำหน้าที่กวดวิชาไปด้วย อย่างนี้ก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาอีก เป็นเพียงแค่ย้ายปัญหาจากอีกที่ไปสู่อีกที่ กลายเป็นว่าระบบยิ่งแย่เข้าไปใหญ่”

นายกสมาคมโรงเรียนกวดวิชา ยืนยันว่า มาตรการขึ้นภาษีนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างที่ต้องการสร้างกำแพงสกัดกั้นอย่างหลายคนเข้าใจได้ เพราะสุดท้ายคนที่มีเงินก็จะหันไปจ้างครูมาสอนบุตรหลานแบบส่วนตัว หรือส่งไปเรียนกับกลุ่มเล็กๆ ซึ่งมีราคาแพงกว่าเรียนกวดวิชาด้วยซ้ำ

“ถ้าบอกว่าการเก็บภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำจึงเป็นวาทะที่ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า คุณกำลังมองประเด็นนี้เป็นเรื่องการแยกชั้นวรรณะ ฐานันดรของผู้เรียน ลองไปดูทุกวันนี้กระทรวงศึกษาฯได้งบ 4 แสนล้านบาท/ปี แต่คุณภาพการศึกษายังไม่ดีเท่าที่ควร แล้วการเก็บภาษีส่วนนี้จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาตามที่บอกได้จริงหรือ ซึ่งผมไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้นได้” นายกสมาคมโรงเรียนกวดวิชา กล่าว

ขณะที่ มนตรี นิรมิตศิริพงศ์ หรือ “อาจารย์ช้าง” ผู้ก่อตั้งโรงเรียนกวดวิชา “วีบายเดอะเบรน” (We by The Brain) ยักษ์ใหญ่กวดวิชาอีกแห่ง ระบุว่า ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องค่าเรียนที่จะสูงขึ้น แต่เชื่อได้ว่าทางโรงเรียนกวดวิชาจะไม่ผลักภาระมายังผู้ปกครองหรือเด็กให้มากจนเกินไป

“อย่าลืมว่าโรงเรียนกวดวิชามีอยู่หลายที่ ถ้าขึ้นราคาแพงเกิน คนก็จะไปเรียนที่อื่นกัน แต่ในส่วนของโรงเรียนวีบายเดอะเบรน ถ้ายังคงแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและบริหารต่อไปได้ ก็อาจไม่ขึ้นราคาค่าเล่าเรียน แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องอนาคต”

มนตรี ระบุว่า อย่ามองว่าโรงเรียนกวดวิชาร่ำรวย มีกำไรมหาศาล ในทางกลับกันหลายแห่งลงทุนสูง อย่างเช่น ตัวเขาทำโรงเรียนกวดวิชามา 28 ปี มีทั้งหมด 33 สาขา จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่กำไรจะสูงมากตามการลงทุนที่มีมากเช่นกัน ที่สำคัญกำไรที่เก็บนั้นก็ต่ำกว่า 20% ตามข้อกำหนดของคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.)

“หากทำโรงเรียนกวดวิชาแล้วได้กำไรมหาศาล ป่านนี้ก็คงมีคนสนใจลงทุนมากมาย แต่ถ้าสังเกตให้ดี คนที่มาเปิดโรงเรียนกวดวิชาล้วนแต่เป็นครูที่ใจรักในการสอน ดังนั้นธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาจึงไม่ได้มุ่งเน้นกำไรเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการบริการสังคมเพื่อขยายการศึกษา”

เขาบอกว่า ที่ผ่านมามีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่บอกว่าไม่ควรเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชา เนื่องจากจะทำให้การเข้าถึงแหล่งความรู้ของชนชั้นต่างๆ มีความเหลื่อมล้ำมากขึ้น กลายเป็นว่ามีแต่เฉพาะลูกคนมีเงินเท่านั้นที่จะเข้าถึงโรงเรียนกวดวิชาได้เท่านั้น” ผู้ก่อตั้ง

ความล้มเหลว ของระบบการศึกษาไทย

เมื่อเริ่มเข้าสู่ระบบการศึกษาภาคบังคับ ทั้งเด็กและผู้ปกครองต่างรู้ว่านี่คือช่วงเวลาที่กำลังเดินเข้าไปสู่สนามการแข่งขัน ที่จะสร้างชีวิตที่ดีด้วยหลักประกันด้านโอกาสในการเรียนที่จะต่อยอดไปสู่การหางานในอนาคต

กระนั้นทุกคนตระหนักว่าการเรียนในห้องเรียนไม่ได้เป็นหลักประกันที่สร้างความมั่นใจได้ว่า จะสอบติดเข้ามหาวิทยาลัยดังของรัฐ นี่ทำให้ทุกคนมุ่งมาที่การเรียนกวดวิชา ธุรกิจที่เติบโตขึ้นทุกปี

เหตุผลที่มักจะได้ยินจากนักเรียนนั่นก็คือ เรียนในห้องไม่รู้เรื่อง กลัวไม่ทันคนอื่น หรือถ้าทันเพื่อนอยู่แล้ว ก็เกิดกลัวถูกแซง เรียนได้ที่ 1 ของโรงเรียนเก่าอยู่แล้ว แต่อยากเก่งขึ้นไปอีก เป็นที่ 1 ของโรงเรียนอื่นเพราะเล็งเห็นว่ามาตรฐานแต่ละโรงเรียนแตกต่างกัน

เด็กจำนวนไม่น้อยบอกว่า เมื่อถึงช่วงปิดภาคเรียนพวกเขาต้องอยู่บ้านเฉยๆ เป็นเรื่องที่น่าเบื่อ กวดวิชาเป็นเหตุผลที่ช่วยให้พวกเขามีข้ออ้างที่ไม่ต้องอยู่บ้านได้ ทำให้พบเจอเพื่อนใหม่ๆ

อีกจำนวนหนึ่งซึ่งมาจากครอบครัวที่มีกำลังทรัพย์มากพอก็มีความเชื่อว่าเรียนเยอะไว้ก่อน คือความได้เปรียบ ไม่สนเรื่องค่าเรียนที่แพงลิ่วนับหลายหมื่นบาทต่อภาคการศึกษาเดียว สูงกว่าค่าเทอมในชั้นเรียนปกติหลายเท่า แต่ก็ตัดสินใจเรียนเพราะเห็นว่าสถาบันบางแห่งมีการสอนสูตรเรียนลัดที่โรงเรียนไม่มีสอน

ที่ทำให้โรงเรียนกวดวิชาในกรุงเทพฯ ตามย่านดังพัฒนาจากตึกไม่กี่ชั้น กลายเป็นตึกสูงใหญ่ที่คลาคล่ำไปด้วยเด็กจำนวนมหาศาลเป็นภาพที่เห็นชินตา

ความต้องการหลายเหตุผลที่ยกมาสอดคล้องกับทิศทางการเจริญเติบโตของธุรกิจนี้ ตามที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประมาณการมูลค่าตลาดธุรกิจกวดวิชาในปี 2558 ไว้ที่ 8,189 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 6.8% สูงกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาคอื่นๆ

ขณะที่นักวิชาการบางรายอ้างงานวิจัยระบุว่า โรงเรียนกวดวิชาเติบโตจากเมื่อ 2 ปีที่แล้วถึง 200% มีเงินหมุนเวียนในกลุ่มโรงเรียนกวดวิชาสูงถึง  3 หมื่นล้านบาท/ปี โดยเฉลี่ยนักเรียนเรียนพิเศษคนละ 7-8 วิชา เพราะต้องการเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง

ประวิต เอราวรรณ์ ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยระบบการศึกษา ระบุว่า การกวดวิชาจะยังมีอยู่ ตราบที่การศึกษายังเป็นการศึกษาแบบแข่งขัน แพ้คัดออก อยากเป็นผู้ชนะก็ต้องเรียนหนัก ต้องกวดวิชา จนสร้างค่านิยมให้ทั้งผู้ปกครอง นักเรียน เชื่อว่าต้องเข้าสู่การแข่งขันอย่างไม่มีทางเลือกอื่นๆ

ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยระบบการศึกษา อธิบายว่า ที่ผ่านมามีความพยายามแก้ปัญหาการกวดวิชาที่ไม่ถูกจุด เช่น การปรับระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยย้อนกลับไปปี 2549 ระบบเอนทรานซ์ ซึ่งเคยเป็นระบบการคัดเลือกเด็กเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยมากกว่า 40 ปี ถูกมองว่าเป็นระบบที่มีข้อเสียหลายด้าน อาทิ เปิดโอกาสให้นักเรียนสอบเพียงครั้งเดียวพร้อมกันทั่วประเทศ จึงพบว่านักเรียนไม่เข้าชั้นเรียนปกติและหันไปกวดวิชาเพื่อแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยอย่างไม่ลืมหูลืมตา

“นักเรียนส่วนใหญ่เริ่มกวดวิชาตั้งแต่เริ่มเรียนมัธยมปลาย ตั้งจุดหมายของชีวิตไว้ที่มหาวิทยาลัยชั้นนำ  ใครที่เคยผ่านระบบเอนทรานซ์มาย่อมจำได้ดีว่า เมื่อถึงฤดูสอบจะสร้างความตึงเครียดให้นักเรียนที่กำลังก้าวเข้าสู่สนามสอบ กระทรวงศึกษาฯจึงเปลี่ยนเป็นระบบแอดมิชชั่น เพื่อแก้ปัญหาและผ่อนคลายบรรยากาศการแข่งขันลง”

ทั้งนี้ สัดส่วนและองค์ประกอบหลักในการคัดเลือกเด็กเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย จึงถูกเปลี่ยนเป็นคะแนนผลการเรียนสะสมตลอดหลักสูตร (GPAX) 20% คะแนนการทดสอบวิชาความถนัดทั่วไป (GAT) และความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ (PAT) 50% และคะแนนจากการสอบข้อสอบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ หรือโอเน็ต 30%

ความตั้งใจของระบบนี้ถูกออกแบบจากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยเพื่อให้ได้ระบบที่ยุติธรรมสำหรับนักเรียน แต่นั่นก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ การกวดวิชาก็ยังสูงขึ้น กระทั่งขยายเป็นการกวดวิชาตลอดทั้งปี ไม่ได้กระจุกตัวแค่ช่วงใกล้สอบอีกต่อไปแล้ว

“เราต้องพยายามลดสัดส่วนผู้ที่ต้องการเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาลง เพราะการกวดวิชามีต้นสายปลายเหตุมาจากเรื่องนี้ ซึ่งการแก้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นเรื่องของการปรับทัศนคติต่อระบบการเรียนการสอนทั้งระบบ ตั้งแต่ระดับอนุบาล ที่ต้องคิดใหม่ว่าไม่ได้ส่งลูกไปเรียนด้านวิชาการ แต่คือการส่งลูกไปเล่น เรียนรู้ตามช่วงวัย ไม่ให้พวกเขามีทัศนคติด้านลบต่อการเรียนตั้งแต่ยังเล็ก แต่ปัจจุบันเด็กถูกกดดันให้มุ่งไปในทางวิชาการตั้งแต่อนุบาล

...เมื่อเรียนไม่ทันคนอื่นก็กลายเป็นไม่พบคุณค่าในตัวเอง ในระดับชั้นที่สูงขึ้นก็เริ่มกลายเป็นเด็กหลังห้อง จนเลิกเรียน ออกกลางคัน นี่เป็นระบบที่ลดทางเลือกของเด็กลง และผลักให้เด็กเข้าสู่การแข่งขัน เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ ประเทศฟินแลนด์ต้องใช้เวลาประมาณ 15 ปี เกาหลีใต้ 12 ปี เราจะแก้เรื่องนี้ ต้องให้คนที่เข้าใจการศึกษาเข้ามาวางนโยบาย วางระบบไม่ใช่ให้การเมืองเข้ามาเปลี่ยนแปลง นโยบายเรื่องนี้ทุกครั้งที่เปลี่ยนรัฐบาล” ประวิต กล่าว

สมพงษ์ จิตระดับ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านเด็กและเยาวชน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ทุกรัฐบาลพยายามแก้ปัญหาโรงเรียนกวดวิชาแต่ก็ล้มเหลว เพราะทุกครั้งจะการแก้ปัญหานี้มักจะแยกส่วนระหว่างเอกชนซึ่งเป็นโรงเรียนกวดวิชา กับรัฐบาลซึ่งกุมนโยบายการศึกษามาโดยตลอด

“โรงเรียนกวดวิชามีส่วนดีในแง่ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่ระบบการศึกษาไม่สามารถให้คำตอบหรือแก้ไขได้ ปัญหาข้อสอบยาก ออกไม่ตรงกับที่เรียน โรงเรียนกลุ่มนี้มีเทคนิคการสอนที่แก้ปัญหาได้ ทำไมโรงเรียนกวดวิชาจัดการปัญหาให้เด็กได้ แต่โรงเรียนในระบบการศึกษาทำไม่ได้ ครูที่สอนในโรงเรียนกวดวิชาส่วนใหญ่ก็เป็นครูในระบบการศึกษามาก่อน นี่จึงเป็นภาพสะท้อนความล้มเหลวการจัดการศึกษาจนกลายเป็นช่องว่างในการทำมาหากินของโรงเรียนกลุ่มนี้”

สมพงษ์ ยกตัวอย่างว่า ในฝรั่งเศสและเยอรมนีไม่มีโรงเรียนกวดวิชา นโยบายการศึกษาของพวกเขาสอนให้เด็กคิดเป็น แต่ประเทศไทยแม้จะพยายามออกแบบข้อสอบให้คิดวิเคราะห์ แต่เมื่อนโยบายไม่สอดรับกับแนวคิดอย่างเป็นระบบ จึงเป็นช่องทางให้เด็กไปกวดวิชาเพื่อหาเทคนิคและคำตอบสำหรับตอบข้อสอบ ดังนั้น หากจะปฏิรูปการศึกษาและแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ก็ถึงเวลาที่ต้องดึงโรงเรียนกวดวิชาเข้ามามีส่วนร่วม

 

กัดฟันส่งลูก เพราะ รร.ด้อยคุณภาพ

ผู้ปกครองต่างเห็นว่าโรงเรียนกวดวิชามีความจำเป็นเพราะการศึกษาในห้องไม่ช่วยอะไรมาก แต่เห็นว่าโรงเรียนกวดวิชาไม่ควรขึ้นค่าเรียน เพราะควรแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมบ้าง

อมรศิริ ดิสสร  อาจารย์สาขาวิชาบัญชี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโยลีราชมงคลพระนคร กล่าวว่า ถ้าสถาบันกวดวิชาถูกเก็บภาษีเพิ่มก็คงผลักภาระมาให้ผู้ปกครองแน่นอน ซึ่งทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายของบุตร 2 คน ที่ต้องลงเรียนกวดวิชาเฉลี่ยเดือนละ 4 หมื่นบาท จากวิชาที่ลงเรียน คือ ภาษาอังกฤษ ฟิสิกส์ เคมี วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ราคาคอร์สละ 2,900 บาท เวลาเรียน 15 วัน

“โรงเรียนกวดวิชามีรายได้จำนวนมาก ขณะที่การศึกษาในโรงเรียนรัฐไม่ได้คุณภาพ ข้อสอบมีการเอื้อต่อสถาบันกวดวิชา ทำให้เด็กต้องมาลงเรียนกวดวิชา จึงเป็นสิ่งที่เด็กเลี่ยงไม่ได้เลย”

อมรศิริ กล่าวว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจากต้นตอที่ระบบ เช่น เด็กที่จะสอบเข้าโรงเรียนสวนกุหลาบ เขาก็ใช้ข้อสอบระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2  ชั้นปีที่ 3  ชั้นปีที่ 4 และชั้นปีที่ 5 ซึ่งเด็กประถมชั้นปีที่ 6 ไม่สามารถทำได้แน่นอน ถ้าไม่ไปลงเรียนกับสถาบันกวดวิชา เพราะไม่ใช่ระดับความรู้ชั้น ป.6 ดังนั้นการแก้ปัญหาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดูแลระบบการศึกษาในโรงเรียน เพื่อไม่ให้ออกข้อสอบเอื้อต่อสถาบันกวดวิชาได้

“ทุกวันนี้มีสถาบันกวดวิชามากมายเกิดขึ้นย่านสยาม จะเห็นว่าเด็กมาลงเรียนแน่นไปหมด เพราะอยากเข้าโรงเรียนดังๆ อย่างเตรียมอุดม สวนกุหลาบ สตรีวิทยา ดังนั้นถ้าไม่แก้ปัญหาให้ตรงจุดนอกจากสถาบันกวดวิชาจะไม่ลดลงแล้ว ยังจะเพิ่มภาระให้ผู้ปกครองมากขึ้น ยิ่งกว่านั้นยังทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เพราะครอบครัวที่มีรายได้น้อยก็จะเข้าถึงการศึกษายากขึ้นอีก” อมรศิริ กล่าว

วินัยธร ศรีหาคลัง พนักงานบริษัทเอกชน กล่าวว่า ต้องรอดูว่าสถาบันกวดวิชาจะผลักภาระมาให้ผู้ปกครองหรือไม่ เพราะถ้าค่าเรียนสูงเกินไป ผู้ปกครองก็ส่งลูกเรียนเสริมไม่ไหว  จะกลายเป็นการส่งลูกเรียนตามมีตามเกิด อยากเรียกร้องให้สถาบันกวดวิชาต้องแบบรับภาระจ่ายภาษีเองบ้างเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม

เขาบอกว่า ปัจจุบันต้องจ่ายเงินค่าเรียนให้หลานกวดวิชาระดับชั้น ป. 1 เฉลี่ยเทอมละ 5,000 บาท เพราะก่อนหน้านี้เคยให้เข้าเรียนในโรงเรียนรัฐ ปรากฏว่าเด็กมีพัฒนาการด้านการศึกษาช้าผิดสังเกตเมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน ผิดจากเด็กที่เรียนโรงเรียนเอกชน  ทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายของเด็กประถมทุกวันนี้เทียบเท่ากับศึกษามหาวิทยาลัยของรัฐแล้ว

วินัยธร สรุปว่า ระบบการศึกษาของรัฐไม่ช่วยอะไรเลย ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงบีบให้ผู้ปกครองจำเป็นหาเงินมากขึ้นเพื่อส่งลูกเรียนกวดวิชาให้สามารถแข่งขันกับคนอื่นได้

เช่นเดียวกับ วิวรณ์ ระคำมา ระบุว่า ปัจจุบันจ่ายค่าเรียนกวดวิชาให้ลูก 5,500 บาท หากเก็บแพงขึ้นก็อาจลดจำนวนวิชาเรียนลง แต่ก็อยากให้เรียนกวดวิชาต่อไป เพราะลูกเป็นเด็กหัวอ่อน บางวิชาก็ตามเพื่อนไม่ทัน การเรียนกวดวิชาจึงจำเป็นมาก

 

ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์ 16 มีนาคม 2558

จากเนื้อเรื่องด้านบนนี้ คุณครูคิดอย่างไร กับข้อความที่ว่า "ข้อสอบเอื้อต่อสถาบันกวดวิชา ธุรกิจกวดวิชาจึงเจริญเติบโต" ?

-ครูบ้านนอกเชื่อว่าความคิดเห็นของคุณครู ชี้นำสังคมไทยได้-


"ข้อสอบเอื้อต่อสถาบันกวดวิชา ธุรกิจกวดวิชาจึงเจริญเติบโต" คุณครูคิดอย่างไร กับข้อความนี้ข้อสอบเอื้อต่อสถาบันกวดวิชาธุรกิจกวดวิชาจึงเจริญเติบโตคุณครูคิดอย่างไรกับข้อความนี้

Advertisement

≡ เรื่องอื่นๆ ที่น่าอ่าน ≡

:: เรื่องปักหมุด ::

ด่วนที่สุด การคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษ สังกัด สพฐ. ปี พ.ศ. 2567

ด่วนที่สุด การคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษ สังกัด สพฐ. ปี พ.ศ. 2567

เปิดอ่าน 6,146 ☕ 26 มี.ค. 2567

Advertisement

≡ เรื่องน่าสนใจในหมวดหมู่นี้ ≡
ด่วนที่สุด สพฐ.แจ้งการกำหนดค่าธรรมเนียมการสมัครคัดเลือกครูผู้ช่วย-ผู้บริหารสถานศึกษา 500 บาท
ด่วนที่สุด สพฐ.แจ้งการกำหนดค่าธรรมเนียมการสมัครคัดเลือกครูผู้ช่วย-ผู้บริหารสถานศึกษา 500 บาท
เปิดอ่าน 277 ☕ 28 มี.ค. 2567

ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567
ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567
เปิดอ่าน 798 ☕ 28 มี.ค. 2567

บอร์ด ก.ค.ศ. เห็นชอบปรับอัตราเงินเดือนครูตามมติ ครม. เดือนเม.ย.รู้ตัวเลขแน่นอน
บอร์ด ก.ค.ศ. เห็นชอบปรับอัตราเงินเดือนครูตามมติ ครม. เดือนเม.ย.รู้ตัวเลขแน่นอน
เปิดอ่าน 1,502 ☕ 27 มี.ค. 2567

ครม.ไฟเขียวตั้งบุรีรัมย์เป็นพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดที่ 20
ครม.ไฟเขียวตั้งบุรีรัมย์เป็นพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดที่ 20
เปิดอ่าน 469 ☕ 27 มี.ค. 2567

ด่วน! สทศ.ประกาศผลสอบโอเน็ต ปีการศึกษา 2566 แล้ว
ด่วน! สทศ.ประกาศผลสอบโอเน็ต ปีการศึกษา 2566 แล้ว
เปิดอ่าน 3,766 ☕ 26 มี.ค. 2567

ด่วนที่สุด การคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษ สังกัด สพฐ. ปี พ.ศ. 2567
ด่วนที่สุด การคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษ สังกัด สพฐ. ปี พ.ศ. 2567
เปิดอ่าน 6,146 ☕ 26 มี.ค. 2567

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

9 อันดับโน้ตบุ๊กเริ่ม"เอ๋อ"ภายใน 3 ปี
9 อันดับโน้ตบุ๊กเริ่ม"เอ๋อ"ภายใน 3 ปี
เปิดอ่าน 11,913 ครั้ง

ขั้นตอนวิธีการจุดธูปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ขั้นตอนวิธีการจุดธูปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เปิดอ่าน 74,653 ครั้ง

‘คุณค่าของครู’ ในโลกที่เกิดการเปลี่ยนแปลง
‘คุณค่าของครู’ ในโลกที่เกิดการเปลี่ยนแปลง
เปิดอ่าน 49,509 ครั้ง

ตำนานกระต่ายในดวงจันทร์
ตำนานกระต่ายในดวงจันทร์
เปิดอ่าน 31,520 ครั้ง

มารู้จักปุ่ม F บนคีย์บอร์ดกันดีกว่า
มารู้จักปุ่ม F บนคีย์บอร์ดกันดีกว่า
เปิดอ่าน 114,165 ครั้ง

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
สนามเด็กเล่น

แหล่งรวมเกมส์ เกมส์ให้เล่นมากมาย ศูนย์รวมเกมส์สนุกๆ เกมส์ความรู้ เกมส์ลับสมอง เกมส์ประลองยุทธ แหล่งรวบรวมข้อมูล เกมส์ เกมส์ออนไลน์ เกมส์มันๆ เกมส์ตัดผม ไว้มากมายที่นี่ ให้เด็กๆได้เลือกเล่นมากมาย คลิกเลย


เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

  • IELTS Test
  • SAT Test
  • สอบ IELTS
  • สอบ TOEIC
  • สอบ SAT
  • เว็บไซต์พันธมิตร

  • IELTS
  • TOEIC Online
  • chulatutor
  • เพลงเด็กอนุบาล
  •  
    หมวดหมู่เนื้อหา
    เนื้อหา แยกตามหมวดหมู่ สามารถเลืออ่านได้ตามหมวดหมู่ที่นี่


    · Technology
    · บทความเทคโนโลยีการศึกษา
    · e-Learning
    · Graphics & Multimedia
    · OpenSource & Freeware
    · ซอฟต์แวร์แนะนำ
    · การถ่ายภาพ
    · Hot Issue
    · Research Library
    · Questions in ETC
    · แวดวงนักเทคโนฯ

    · ความรู้ทั่วไป
    · คณิตศาสตร์
    · วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
    · ภาษาต่างประเทศ
    · ภาษาไทย
    · สุขศึกษาและพลศึกษา
    · สังคมศึกษา ศาสนาฯ
    · ศิลปศึกษาและดนตรี
    · การงานอาชีพ

    · ข่าวการศึกษา
    · ข่าวตามกระแสสังคม
    · งาน/บริการสังคม
    · คลิปวิดีโอยอดนิยม
    · เกมส์
    · เกมส์ฝึกสมอง

    · ทฤษฎีทางการศึกษา
    · บทความการศึกษา
    · การวิจัยทางการศึกษา
    · คุณครูควรรู้ไว้
    · เตรียมประเมินวิทยฐานะ
    · ผลงานวิชาการเล่มเต็ม
    · เครื่องมือสำหรับครู

    ครูบ้านนอกดอทคอม

    เว็บไซต์เพื่อครู ข่าวการศึกษา ความรู้ การศึกษาไทย

          kroobannok.com

    © 2000-2020 Kroobannok.com  
    All rights reserved.


    Design by : kroobannok.com


    ครูบ้านนอกดอทคอม
    การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

    วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
     

    ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

    เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

    Email : kornkham@hotmail.com
    Tel : 096-7158383

    สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
    คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ