21 ก.ย.64-นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวในการเสวนา “ศบค.ศธ.พบสภาผู้ปกครอง และครูแห่งประเทศไทย” เพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 ให้กับนักเรียนอายุ 12-17 ปี ตอนหนึ่งว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จึงหารือกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดยกรมควบคุมโรค และกรมอนามัย เพื่อวางแผนการฉีดวัคซีนให้กับนักเรียน และครู รวมถึงการจัดทำมาตรการป้องกันต่าง ๆ ซึ่งในส่วนของกลุ่มนักเรียนนั้นได้กำหนดที่จะฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับนักเรียน ประมาณ 4.5 ล้านคนอายุตั้งแต่ 12-17 ปี ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้แบ่งการทำงานออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1.การเตรียมการฉีดวัคซีน ซึ่งจะต้องมีการสร้างความเข้าใจกับนักเรียน และผู้ปกครอง จากนั้นจะให้ผู้ปกครองยื่นความประสงค์เพื่อให้ลูกเข้าฉีดวัคซีน ก่อนจะมีการยื่นข้อมูลและตัวเลขให้สาธารณสุขจังหวัดเพื่อขอรับการจัดสรรวัคซีนจากส่วนกลางต่อไป 2.การฉีดวัคซีน กำหนดจัดฉีดที่โรงเรียน และ3.หลังการฉีดวัคซีน จะต้องดูแลว่าเด็กมีอาการที่ไม่พึงประสงค์ โดยสรุปก็คือการดำเนินงานครั้งนี้เราจะดูแลนักเรียน ตั้งแต่ก่อนฉีดจนกระทั่งหลังฉีด และหากเป็นไปตามแผนที่วางไว้เราจะสามารถเปิดเรียนภาคเรียนที่ 2 แบบ Onsite ได้ทันในเดือนพฤศจิกายนนี้แน่นอน
"อย่างไรก็ตาม หากเราจะเปิดเรียนแบบ Onsite ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ได้นั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในนักเรียนและครูให้มีภูมิป้องกันมากที่สุด แต่ สพฐ.ไม่ได้บังคับว่าผู้ปกครองจะต้องให้ลูกมาเรียนที่โรงเรียนทุกคน หากยังมีความกังวลในเรื่องความปลอดภัยอยู่อยากให้ลูกเรียนรูปแบบ Online ที่บ้านก็ยังสามารถทำได้" เลขาฯ กพฐ.กล่าว
ด้าน นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ศธ.และ สธ. ได้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการกำหนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในโรงเรียน ที่เรียกว่า Sandbox Safety Zone in School โดยนำร่องในโรงเรียนประจำ ซึ่งได้ผลดี ครูในโรงเรียนได้รับวัคซีนร้อยละ 80 ขึ้นไป โรงเรียนมีการจัดพื้นที่ปลอดภัย มีจัดกิจกรรมเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แยกกัน มีการคัดกรองที่ได้ผล ทำให้พบผู้ติดเชื้อ และแยกกัก ส่งตัวรักษา และควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นความสำเร็จของ ศธ. และเป็นตัวอย่างให้สถานประกอบการประเภทอื่น ๆ นำไปใช้เป็นตัวอย่าง ส่วนการนำร่องในโรงเรียนไปกลับนั้น โรงเรียนต้องเน้นกิจกรรมที่ลดความเสี่ยงให้มากที่สุด โดยจะมีการประเมินร่วมกันระหว่างคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด กับสถานศึกษาอีกครั้ง เพื่อให้การจัดการศึกษาปลอดภัยที่สุด สำหรับวัคซีนที่จะให้กับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปนั้น ขณะนี้ทั่วโลกอนุมัติให้ใช้วัคซีนชนิด mRNA และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทย อนุมัติให้ฉีดได้ จะเป็นวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งจะเข้ามาในประเทศไทยและเริ่มฉีดต้นเดือน ต.ค.ซึ่งยืนยันว่ามีเพียงพอที่จะฉีดให้กับเด็ก โดยเริ่มมีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปในกลุ่มเด็กที่มีโรคประจำตัว เพราะเด็กลุ่มนี้หากติดเชื้อโควิดจะมีความรุนแรงมากกว่าเด็กปกติ โดยพบว่า กลุ่มเด็ก อายุ 12-19 ปี มีอัตราการติดเชื้อร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ใหญ่ และเสียชีวิต ร้อยละ 0.03 แม้จะเป็นจำนวนน้อย แต่ส่วนใหญ่เด็กที่เสียชีวิต จะมีโรคประจำตัวด้วย จึงจำเป็นต้องเร่งฉีดวัคซีนให้กับเด็กที่มีโรคประจำตัวให้ได้มากที่สุด
"ส่วนเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนนั้น คณะผู้เชี่ยวชาญของ สธ. อย. และราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ เห็นตรงกันว่า มีความจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนให้กับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป โดยในส่วนของวัคซีนไฟเซอร์นั้น ทั่วโลกมีข้อมูลพบอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ในเด็กผู้ชาย และพบในโดส ที่ 2 มากกว่าโดสที่ 1 สำหรับประเทศไทยพบเพียง 1 คน เท่านั้นและมีอาการไม่มาก ขณะนี้รักษาหายเป็นปกติแล้ว ส่วนวัคซีนเชื้อตาย ได้แก่ วัคซีนซิโนฟาร์ม ที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ นำมาฉีดให้กับเด็กนักเรียน นั้น เป็นขั้นตอนการศึกษาวิจัย ส่วนการนำไปฉีดในเด็กทั่วไปนั้น ขณะนี้ อย. ไทย ยังไม่อนุมัติ"รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวและอ่านเพิ่มเติมได้จาก ไทยโพสต์ วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2564
โพสต์เมื่อ 22 ก.ย. 2564 อ่าน 6,907 ครั้ง
จัดทำเว็บไซต์โดย นายอดิศร ก้อนคำ (ครูโจ้)