“มีของดีอยู่กับตัวกลัวอะไร” หรือ “มีของดีรับรองไม่อดตาย” คงเป็นคำกล่าวที่คุ้นหูใครหลาย ๆ คนไม่ใช่น้อย บ่งบอกว่าผ่านมากี่ยุคกี่สมัย “คนไทย” ก็ยังเชื่อถือศรัทธา
“สิ่งที่มองไม่เห็น” หรือ “สิ่งเหนือธรรมชาติ” อย่างไม่เปลี่ยนแปลงและเชื่อว่ายังคงอยู่สืบไปตราบนานเท่านาน ยากยิ่งนักที่ใครจะคิดมาเปลี่ยนทัศนคติหรือความเชื่อเหล่านี้ไปได้ง่าย ๆ
ทั้งนี้พลพรรคคนรักหวยหรือนักเสี่ยงโชคก็เช่นเดียวกัน โดยทั่วไปนั้น มีจำนวนไม่น้อยที่เชื่อถือศรัทธาในโชคลางหรือเครื่องราง ของขลัง อย่างน้อยก็เป็นที่พึ่งทางใจให้ “อุ่นใจ” ดีกว่าไม่มีสิ่งใดมายึดเหนี่ยวเลย ซึ่งเครื่องรางของขลังที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่มีหลากหลายประเภทคงไม่สามารถนำมาจำแนกได้หมดทุกชนิดทุกชิ้น จึงขอนำมาเสนอให้ทราบเพียงสังเขปเท่านั้น
หากมีคำถามว่าความนิยมเครื่องราง ของขลังเข้าข่ายงมงายหรือไม่ ? ตรงนี้เป็นความเชื่อเฉพาะบุคคลคงไม่สามารถไปกำหนดกฎเกณฑ์ให้ผู้อื่นเชื่อตามได้ ใครเชื่อก็เคารพนับถือกันไป ใครไม่เชื่อก็รับฟังรับรู้ไว้เท่านั้นก็พอ ซึ่งล้วนเป็นความจริงใน สังคมไทยในวันนี้
“ปี่เซียะ” หรือ “ผีซิ่ว” นับเป็นวัตถุ มงคลที่ได้รับความนิยมกันมากในปัจจุบัน เป็นสัตว์มงคล ใบหน้าเหมือนสิงโตและสุนัข ขาเป็นกีบ มีปีกเล็ก มีหาง มีเขาเดียว แต่ไม่มีก้น นั่งท่าตะครุบเหรียญ ตามตำนานจีนระบุว่าเป็นราชบุตรองค์ที่เก้าของพญามังกรสวรรค์ มีชื่อเรียกขานหลากหลายขึ้นอยู่กับสถานที่ค้นพบทั้ง “เผ่เย่า” บนสวรรค์ “ ผีซิ่ว” บนโลกมนุษย์ “ผีแคน” ในมหาสมุทร แต่ทั้งหมดมีคุณสมบัติอย่างเดียวกัน ชาวจีนเชื่อกันว่าเป็นเครื่องป้องกันอันตรายได้สารพัดรวมทั้งบันดาลโชคลาภ มักพบเห็นเป็นรูปปั้นตามสถานที่ต่าง ๆ หรือทำเป็นเครื่องรางชิ้นเล็ก ๆ ใช้ห้อยคอ สวมข้อมือ เชื่อ กันว่าช่วยให้ผู้ครอบครอบมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ไปด้วยโภคทรัพย์ ได้รับความนิยมมากกว่า “กิเลน” เพราะไม่มีก้น จึงทำหน้าที่ “กินอย่างเดียวไม่มีถ่าย” หิวกระหายไม่มีที่สิ้นสุด เปรียบเสมือนเงินทองไหลเข้าแต่ไม่ไหลออกไปนั่นเอง
นักธุรกิจ พ่อค้าแม่ค้าหรือนักเสี่ยงโชคที่ ต้องการโชคลาภมหา ศาลหรืออยาก ได้เงินทองเข้ามาก ๆ และจ่ายน้อย ๆ ปี่เซียะหรือผีซิ่วจึงเหมาะกับการบูชา ซึ่งเชื่อว่าใครมีไว้ในครอบครองแล้วจะให้คุณอย่างน้อย 6 ประการ
1.คอยพิทักษ์ทรัพย์สินและโชคลาภ
2.เสริมฮวงจุ้ยหรือเป็นสิ่งมงคล
3.ส่งเสริมความมั่งคั่ง ร่ำรวย
4.ป้องกันสิ่งชั่วร้ายในบ้านเรือน
5.ขจัดปิศาจ อุปสรรคและความยุ่งยากทั้งปวง
6.นำโชคลาภไหลมาเทมา
อีกสิ่งหนึ่งที่นิยมก็คือ “กุมารทอง” เป็นเด็กผมจุกนุ่งโจงกระเบน ไม่ใส่เสื้อ สวมสร้อยสังวาลถูกเลี้ยงไว้โดยผู้มีวิชาไสยศาสตร์ วิธีทำกุมารทองต้องเลือกศพตายทั้งกลมที่ตาย ทั้งแม่และลูกนำไปประกอบพิธี (ตามตำรับโบราณ) โดยผ่าท้องเอาเด็กออกมา ส่วนศพแม่ก็เอาไปทำน้ำมันพรายผสมกับน้ำมันหอมก่อนมอบให้ผู้เคารพนับถือนำไปบูชาในด้านต่าง ๆ กัน ซึ่งผู้นิยมเลี้ยงกุมารทองส่วนใหญ่มักเป็นผู้ประกอบกิจการค้าขาย เพราะเชื่อว่าทำให้ค้าขายดีขึ้นกว่าเดิมเงินทองไหลมาเทมาและบางรายนิยมเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านป้องกันโจรผู้ร้ายอีกด้วย
“ลูกกรอก” ก็ได้รับความนิยมสืบทอดกันมาจากคนโบราณ มีทั้งลูกกรอกสัตว์และลูกกรอกมนุษย์ มักนำมากราบไหว้บูชาและถวายของเซ่นไหว้ต่าง ๆ ทั้งอาหารคาวหวาน ขนม ผลไม้และของเล่นโดยหวังว่าช่วยบันดาลให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรืองอยู่เย็นเป็นสุขและทำมาค้าขึ้น
นอกจากนี้ยังมี “รัก-ยม” ที่เลี้ยงดู ตามความเชื่อไว้เฝ้ารักษาบ้านเรือน คอยดูแลทรัพย์สินและคอยป้องกันอันตรายจากสิ่งที่มองไม่เห็นต่าง ๆ เช่น คุณไสยและไสยศาสตร์ได้ อีกด้วย
“เครื่องรางชูชก” ในอดีตหลายวัด นิยมจัดสร้างให้เช่าบูชากัน แต่ปัจจุบันค่อนข้างหาอาจารย์เก่ง ๆ ปลุกเสกลำบาก ที่ขึ้นชื่อมาก ๆ คงเป็นวัดแถว ๆ จ.นคร ปฐม โดยเชื่อว่าชูชกเป็นแบบอย่างของชายชราผู้ร่ำรวย ไม่รู้จักคำว่า “เพียงพอ” สามารถดลบันดาลให้เงินทองไหลมาเทมาอย่างไม่จบสิ้น เรียกว่านับวันยิ่งรวยไปเรื่อย ๆ จนท้องแตกตายเหมือนชูชกนั่นเอง
“เบี้ยแก้” เป็นเครื่องรางอย่างหนึ่งที่บรรดาเกจิอาจารย์ดัง ๆ สมัยก่อนนิยมทำแจก ญาติโยม ภายในบรรจุเม็ดข้าวสารหิน เม็ดพระธาตุ เม็ดกริ่งหรือสิ่งมงคลต่าง ๆ ลงไปรวมทั้งปรอทด้วย เพราะเชื่อว่าปรอทเป็นตัว “กินเงินกินทอง” หากต้องการพิสูจน์ให้นำเครื่องเงินหรือทองคำมาแตะกับปรอทเพียงพักเดียวเนื้อเงินและทองจะกลายเป็นสีปรอทหมดสิ้น ดังนั้นจึงต้องนำปรอทเป็นส่วนประกอบด้วย เชื่อว่าทำให้เงินไหลมาเทมาค้าขายดี โชคลาภไม่ขาดสาย พุทธคุณที่บรรจุเข้าไปส่วนใหญ่เป็นคาถาด้านเมตตามหานิยม เช่น คาถามหาเศรษฐี หัวใจพระสิวลี ด้านเมตตามหานิยม เป็นต้น
“นางกวัก” ก็เป็นสิ่งที่คนไทยนิยมบูชาจำนวนมากไม่แพ้เครื่องรางของขลังชนิดอื่น ๆ โดยเชื่อว่าสามารถดลบันดาลให้ทำมาค้าขายดีมีโชคลาภอยู่เสมอ ตามตำนานเดิมนั้นนางกวักเดิมชื่อ นางสุภาวดี บิดาชื่อ สุจิตพราหมณ์ มารดาชื่อ สุมณฑา เกิดที่เมืองมัจฉิกาสัณฑ์ ประเทศอินเดีย ครอบครัวประกอบอาชีพค้าขาย ต่อมาได้เลื่อมใสในพุทธศาสนาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของพระมหากัสสปะเถระและพระสิวลีได้รับพรว่า “ขอให้เจริญรุ่งเรืองไพบูลย์ไปด้วยทรัพย์สินเงินทองจากการค้าขายสินค้าต่าง ๆ สมความปรารถนาเถิด” จนประสบความสำเร็จในกิจการ ขายสินค้าดีเป็นเทน้ำเทท่า ส่งผลให้ครอบครัวร่ำรวยมหาศาลกลายเป็นตำนานแห่ง “เทวีแห่งโชคลาภและการค้าขาย” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ภายหลังจากนางสุภาวดีสิ้นชีวิตไปแล้วผู้คนนิยมปั้นรูปนางไว้บูชาเพื่อให้การค้าเจริญรุ่งเรืองและมีโชคลาภไหลมาไม่ขาดสาย ทำให้ความเชื่อนี้แพร่หลายเข้ามาในเมืองไทยจากการเผยแพร่วัฒนธรรมและความเชื่อของพราหมณ์ ดังนั้นบ้านใครก็ตามที่มีอาชีพค้าขายจะอัญเชิญรูปปั้นนางสุภาวดีหรือนางกวักมาบูชาเพื่อเป็นสิริมงคลสืบไป
ทั้งหมดเป็นเรื่องราว
“เครื่องรางของขลัง” เพียงบางส่วนที่นักเสี่ยงโชคเชื่อว่าเป็น “ตัวช่วย” ทางใจให้ถูกหวยรวยทรัพย์ในแต่ละงวด ดังนั้นไม่น่าแปลกใจเลยไม่ว่าวัดใดมีการจัดสร้างวัตถุมงคลเหล่านี้ได้รับความนิยมจากพุทธศาสนิกชนคับคั่ง แต่ก็ขึ้นอยู่กับบุญพาวาสนาส่งและความขยันทำมาหากินด้วย ไม่ใช่นั่งรอนอนรอให้โชคหล่นมาหาฝ่ายเดียว แบบนั้นเกิดสักสิบชาติก็ไม่รวยหรอกนะ