รายงานผลการใช้ชุดพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ
เรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยาก
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านปง
อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่
ปิ่นทอง ไชยวาปิน
โรงเรียนบ้านปง อำเภอหางดง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ
2567
คำนำ
การจัดทำรายงานการวิจัย เรื่องการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยาก โดยใช้ชุดพัฒนาทักษะ การเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 วิชาภาษาไทยเล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อสรุปผล การเปรียบเทียบคะแนนที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนจากการทดสอบก่อนเรียนและหลังการเรียน โดยใช้ชุดพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่ผู้วิจัยจัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอน ซึ่งจากการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ศึกษาในการเรียนการสอนวิชาดังกล่าว พบว่านักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 มีค่าคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นตามวัตถุประสงค์และสมมติฐานของการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัย มีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า งานวิจัยการใช้สื่อชุดพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำวิชาภาษาไทยในครั้งนี้ จะสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลในการประยุกต์และทราบถึงประสิทธิภาพของสื่อนำไปใช้ปรับปรุงในการผลิตสื่อชุดพัฒนาที่ใช้ในการเรียนสอนในรายวิชาอื่นๆ ต่อไป
ขอขอบพระคุณครูสิรภัทร ไกรสิทธิ์ ที่กรุณาให้ความรู้ คำปรึกษา คำแนะนำในกระบวนการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนจนงานสำเร็จลุล่วงด้วยดี ขอบคุณคณะครู นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการพัฒนาครั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าวิจัยฉบับนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทยได้อีกทางหนึ่ง
นางปิ่นทอง ไชยวาปิน
ผู้สอน/วิจัย
สารบัญ
หน้า
คำนำ ก
สารบัญ ข
บทที่ 1 บทนำ
ปัญหาและที่มาของงานวิจัย 1
วัตถุประสงค์การวิจัย 1
สมมติฐานสำหรับการวิจัย 1
ขอบเขตของการวิจัย 1
ขอบข่ายเนื้อหา 2
ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย 2
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 2
คำนิยามศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการวิจัย 2
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย
กลุ่มเป้าหมาย 9
ตัวแปรที่ศึกษา 9
การเก็บรวบรวมข้อมูล 9
วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล 10
สถิติที่ใช้ 10
บทที่ 4 วิเคราะห์ผลการวิจัย
ตารางที่ 4.1 เปรียบเทียบคะแนนความสามารถทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 12
ตารางที่ 4.2 การวิเคราะห์ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 13
บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย
สรุปผลการศึกษา 14
อภิปรายผล 14
ผลการทดสอบสมมติฐาน 15ข้อเสนอแนะ 15
ภาคผนวก
บทที่ 1
บทนำ
1. ปัญหาและที่มาของงานวิจัย
ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ เป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อสารของคนในชาติ จึงมีความสำคัญต่อการศึกษาเนื่องจากต้องใช้ภาษาไทยในการศึกษาหาความรู้วิชาการต่างๆ ซึ่งหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กำหนดให้ใช้ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการสื่อสารและแสวงหาความรู้ ทักษะภาษาไทยทั้ง 4 ด้าน ซึ่งได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ทักษะที่มีความสลับซับซ้อนและยากที่สุดสำหรับผู้เรียน คือ ทักษะการเขียน เพราะในการสื่อสารด้วยการเขียนนั้น ผู้เรียนต้องมีความรอบรู้ มีความคิด และสะสมประสบการณ์ต่างๆ ไว้มาก และกลั่นกรองความรู้ที่ได้มาแสดงออกเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อสื่อความหมายให้ประจักษ์ (กรมวิชาการ, 2542)
ในปีการศึกษา 2567 ผู้ศึกษามีหน้าที่รับผิดชอบจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวนนักเรียน 30 คน โดยการจัดการเรียนการสอนนักเรียนต้องมีการจดบันทึก ตอบคำถามตามกิจกรรมภาระงานที่ครูได้กำหนด จากผลการจัดการเรียนรู้ ในแต่ละชั่วโมง ผู้ศึกษาได้ตรวจสมุดจดบันทึกหรือภาระงานตามแบบฝึกหัด ใบงาน พบว่า นักเรียนเขียนสะกดคำไม่ถูกต้องหลายคำและเป็นคำที่พบบ่อยในหน่วยการเรียนรู้ เมื่อให้นักเรียนอ่านคำเหล่านั้น ส่วนใหญ่นักเรียนอ่านได้ถูกต้อง แต่มีปัญหาคือเขียนสะกดคำได้ไม่ถูกต้อง
ผู้ศึกษาตระหนักและเห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงได้หาวิธีการในการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยากในหน่วยการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เพื่อให้ผู้เรียนในกลุ่มดังกล่าว มีพัฒนาการด้านทักษะการเขียนสะกดคำที่ถูกต้อง และเป็นระดับชั้นที่จะปูพื้นฐานในการเตรียมความพร้อมสู่การสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน O-net ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นพื้นฐานในการเรียนวิชาอื่นๆ ได้อีกด้วย
2. วัตถุประสงค์ในการวิจัย
1. เพื่อศึกษาผลการพัฒนานักเรียนที่มีปัญหาด้านทักษะการเขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ชุดแบบฝึกการเขียนคำยาก กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
3. สมมติฐานสำหรับการวิจัย
นักเรียนที่มีปัญหาด้านการเขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง หลังได้รับการสอนโดยใช้ชุดแบบฝึกการเขียนคำยาก แล้วมีพัฒนาด้านการเขียนได้ถูกต้องเพิ่มมากขึ้น
4. ขอบเขตของการวิจัย
1. ประชากรหรือกลุ่มเป้าหมาย
ประชากรหรือกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1
ปีการศึกษา 2567 จำนวน 10 คน โรงเรียนบ้านปง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4
2. ตัวแปร
1. ตัวแปรต้น ได้แก่ การใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยาก
2. ตัวแปรตาม ได้แก่ ความสามารถในการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
5. ขอบข่ายเนื้อหา
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นเนื้อหาในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ของอักษรเจริญทัศน์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
6. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย
ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 (วันที่ 2 เดือน กันยายน
พ.ศ. 2567 ถึงวันที่ 13 เดือนกันยายน พ.ศ. 2567)
7. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีทักษะการเขียนสะกดคำยากได้ถูกต้อง
2. นักเรียนมีทักษะการเขียนที่ดีขึ้นและสามารถใช้เป็นทักษะขั้นพื้นฐานในการเรียนระดับสูงต่อไป
8. คำนิยามศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการวิจัย
1. คำยาก หมายถึง คำใหม่ในบทเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
จากหนังสือเรียนของอักษรเจริญทัศน์
2. นักเรียนที่เขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง หมายถึง นักเรียนที่มีปัญหาด้านการเขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง
ที่พบในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จากหนังสือเรียนของอักษรเจริญทัศน์
3. ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ หมายถึง เป็นชุดแบบฝึกที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีพัฒนาการด้านการเขียนสะกดคำให้ถูกต้อง
4. แบบทดสอบการเขียนก่อนเรียนหลังเรียน เป็นแบบทดสอบที่ผู้ศึกษาได้สร้างขึ้นโดยเป็นข้อสอบแบบเขียนคำศัพท์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งเป็นคำที่นักเรียนเขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง จำนวน 40 คำ
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การศึกษาและวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยากโดยใช้ชุดพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านปง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ศึกษาได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการศึกษาตามลำดับเนื้อหา ดังนี้
1. หลักสูตรสาระภาษาไทย
1.1 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
1.2 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2. หลักการสร้างแบบฝึก
3. การสอนการเขียน
หลักสูตรสาระภาษาไทย
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
สาระที่ 1 การอ่าน
มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านเพื่อสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน
สาระที่ 2 การเขียน
มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ
สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด ความรู้ในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณ และสร้างสรรค์
สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย
มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษา ภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ
สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม
มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดี และวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ตัวชี้วัดการอ่าน
1. อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้ถูกต้องเหมาะสมกับเรื่องที่อ่าน
2. จับใจความสำคัญจากเรื่องที่อ่าน
3. ระบุเหตุและผล และข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน
4. ระบุและอธิบายคำเปรียบเทียบ และคำที่มีหลายความหมายในบริบทต่างๆ จากการอ่าน
5. ตีความคำยากในเอกสารวิชาการ โดยพิจารณาจากบริบท
6. ระบุข้อสังเกตและความสมเหตุสมผลของงานเขียนประเภทชักจูงโน้มน้าวใจ
7. ปฏิบัติตามคู่มือแนะนำวิธีการใช้งานของเครื่องมือหรือเครื่องใช้ในระดับที่ยากขึ้น
8. วิเคราะห์คุณค่าที่ได้รับจากการอ่านงานเขียนอย่างหลากหลายเพื่อนำไปใช้แก้ปัญหาในชีวิต
9. มีมารยาทในการอ่าน
สาระการเรียนรู้แกนกลางการอ่าน
- การอ่านออกเสียง ประกอบด้วย
- บทร้อยแก้วที่เป็นบทบรรยาย
- บทร้อยกรอง เช่น กลอนสุภาพ กลอนสักวา กาพย์ยานี 11 กาพย์ฉบัง 16 กาพย์สุรางคนางค์ 28
และโคลงสี่สุภาพ
- การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ เช่น
- เรื่องเล่าจากประสบการณ์
- เรื่องสั้น
- บทสนทนา
- นิทานชาดก
- วรรณคดีในบทเรียน
- งานเขียนเชิงสร้างสรรค์
- บทความ
- สารคดี
- บันเทิงคดี
- เอกสารทางวิชาการที่มีคำ ประโยค และข้อความที่ต้องใช้บริบทช่วยพิจารณาความหมาย
- งานเขียนประเภทชักจูงโน้มน้าวใจเชิงสร้างสรรค์
- การอ่านและปฏิบัติตามเอกสารคู่มือ
- การอ่านหนังสือตามความสนใจ เช่น
- หนังสือที่นักเรียนสนใจและเหมาะสมกับวัย
- หนังสืออ่านที่ครูและนักเรียนกำหนดร่วมกัน
- มารยาทในการอ่าน
ตัวชี้วัดการเขียน
1. คัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด
2. เขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยคำถูกต้องชัดเจน เหมาะสม และสละสลวย
3. เขียนบรรยายประสบการณ์โดยระบุสาระสำคัญและรายละเอียดสนับสนุน
4. เขียนเรียงความ
5. เขียนย่อความจากเรื่องที่อ่าน
6. เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระจากสื่อที่ได้รับ
7. เขียนจดหมายส่วนตัวและจดหมายกิจธุระ
8. เขียนรายงานการศึกษาค้นคว้าและโครงงาน
9. มีมารยาทในการเขียน
สาระการเรียนรู้แกนกลางการเขียน
- การคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัดตามรูปแบบการเขียนตัวอักษรไทย
- การเขียนสื่อสาร เช่น
- การเขียนแนะนำตนเอง
- การเขียนแนะนำสถานที่สำคัญๆ
- การเขียนบนสื่ออิเล็กทรอนิกส์
- การบรรยายประสบการณ์
- การเขียนเรียงความเชิงพรรณนา
- การเขียนย่อความจากสื่อต่างๆ เช่น เรื่องสั้น คำสอน โอวาท คำปราศรัย สุนทรพจน์ รายงาน ระเบียบ คำสั่ง บทสนทนาเรื่องเล่า ประสบการณ์
- การเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระจากสื่อต่างๆ เช่น
- บทความ
- หนังสืออ่านนอกเวลา
- ข่าวและเหตุการณ์ประจำวัน
- เหตุการณ์สำคัญต่างๆ
- การเขียนจดหมายส่วนตัว
- จดหมายขอความช่วยเหลือ
- จดหมายแนะนำ
- การเขียนจดหมายกิจธุระ
- จดหมายสอบถามข้อมูล
- การเขียนรายงาน ได้แก่
- การเขียนรายงานจากการศึกษาค้นคว้า
- การเขียนรายงานโครงงาน
- มารยาทในการเขียน
หลักการสร้างแบบฝึก
การเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพครูผู้สอนควรมีบทบาทในการจัดกิจกรรม โดยศึกษาจิตวิทยาการเรียนรู้ เพื่อให้สามารถเลือกกิจกรรมและสื่อที่เหมาะสม มีความรู้ความชำนาญในการใช้สื่อ อุปกรณ์เพื่อประกอบกับการจัดกิจกรรมที่สามารถแก้ปัญหาได้ (กรมวิชาการ 2539 : 30) โดยครูจะต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องสื่อการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญ ทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเอื้อประโยชน์ต่อประสิทธิภาพในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อพัฒนาความสามารถและทักษะของผู้เรียน
(ก่อ สวัสดิพาณิชย์ 2524) กล่าวถึงหลักการสร้างแบบฝึกไว้ ดังนี้
1. สร้างให้สอดคล้องกับหลักจิตวิทยา พัฒนาการของเด็กและลำดับขั้นการเรียนรู้
2. มีจุดประสงค์ว่าจะฝึกในด้านใด แล้วจัดเนื้อหาให้ตรงกับจุดประสงค์ที่วางไว้
3. จัดทำแบบฝึกให้เป็นไปตามลำดับความยากง่าย เพื่อให้นักเรียนมีกำลังใจ
4. ใช้รูปภาพจูงใจผู้เรียนและช่วยให้ผู้เรียนผ่อนคลาย
5. คำนึงความแตกต่างระหว่างบุคคลแบ่งผู้เรียนตามความสามารถแล้วจัดทำแบบฝึกเพื่อส่งเสริมผู้เรียนแต่ละกลุ่มหรือ รายบุคคลได้ยิ่งดี
6. ในแบบฝึกต้องมีคำชี้แจงง่ายๆ สั้นๆ เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจ
7. แบบฝึกต้องมีความถูกต้อง ทั้งในแง่เนื้อหาสาระและอักขระที่ครูต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน อย่าให้มีข้อผิดพลาด
8. แบบฝึกควรแบ่งเป็นชุดย่อยๆ แต่ละชุดใช้เวลาไม่นานนัก ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความสนใจมากกว่าแบบฝึกที่ใช้เวลานาน นอกจากนั้นยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการอยากรู้อยากเรียน
9. ควรทำแบบฝึกหลายรูปแบบ เพื่อให้ผู้เรียนรู้อย่างกว้างขวางและส่งเสริมให้เกิดความคิด การใช้อุปกรณ์หรือเกมประกอบแบบฝึก เป็นแนวทางกระตุ้นผู้เรียนที่ดีทางหนึ่ง
10. เมื่อพบข้อผิดพลาดของผู้เรียน หลังจากทำแบบฝึกแล้ว ควรให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อแก้ไขผู้เรียนเป็นรายกลุ่ม หรือรายบุคคล
การสร้างแบบฝึกควรคำนึงถึงหลักการสำคัญ ดังต่อไปนี้คือ
1. ใช้หลักจิตวิทยา
2. ภาษาง่าย
3. ให้ความหมายต่อชีวิต
4. คิดได้เร็วและสนุก
5. ปลุกเร้าความสนใจ
6. เหมาะสมกับวัยและความสามารถ
นายชีวิตรี อยู่สีมารักษ์ (2543) ได้ทำการวิจัยโดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านบทร้อยกรองคำพื้นฐานภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนทานสัมฤทธิ์ จังหวัดนนทบุรี พบว่าชุดฝึกทักษะมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งคิดได้เป็นร้อยละ 80 เนื่องจากแบบฝึกแยกแยะเนื้อหาและความรู้ออกเป็นขั้นย่อย ๆ ง่ายแก่การเข้าใจเรียงลำดับต่อเนื่องกัน ทำให้นักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
นางศิริรัตน์ ศุภนราพรรค์ ( 2544) ได้ทำการวิจัยโดยใช้ชุดฝึกในการแก้ปัญหาการเขียนคำยากของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ข. โรงเรียนชุมชนแหลมงอบ จังหวัดตราด พบว่าชุดฝึกทักษะ มีประสิทธิภาพปรากฏผลการประเมินผู้เรียนก่อนเรียนได้คะแนนคิดเป็นร้อยละ 55.17 และหลังการใช้ชุดฝึกผู้เรียนได้คะแนนร้อยละ 82.60
การสอนการเขียน
การเขียนคำให้ถูกต้องเป็นสาขาหนึ่งของการเขียน การเขียนคำเป็นทักษะที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อชีวิตประจำวันและความเป็นอยู่ของบุคคลในยุคปัจจุบัน เพราะการเขียนคำให้ถูกต้องจะช่วยให้อ่านหนังสือออกและเขียนหนังสือได้ถูกต้อง ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของการเรียนวิชาต่างๆ และเพื่อการศึกษาในระดับสูงๆ ต่อไป (สุนันท์ จงธนสารสมบัติ. 2525 : 146) ซึ่งความเห็นดังกล่าวตรงกับที่ รองรัตน์ อิสรภักดี และเทือก กุสุมา ณ อยุธยา กล่าวไว้ว่า การสอนเขียนคำเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต้องรู้จักการเขียนคำที่ถูกต้องก่อนที่จะเขียนเป็นเรื่องเป็นราวได้ (รองรัตน์ อิสรภักดี และเทือก กุสุมา ณ อยุธยา . 2526 : 145)
ดังนั้นการจะสอนให้เด็กมีความสามารถในการเขียนคำ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการเอาใจใส่ ความสนใจจากครูผู้สอนและส่งเสริมให้นักเรียนมีประสิทธิภาพทางการเขียนให้มากที่สุดเพื่อประโยชน์ดังกล่าว
รองรัตน์ อิสรภักดี และเทือก กุสุมา ณ อยุธยา (2526 : 126) ได้กล่าวถึงหลักการสอนเขียนต้องคำนึงถึงหลักการต่อไปนี้
1. สอนคำที่อยู่ใกล้ตัวเด็กและสิ่งที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน
2. สอนคำที่เด็กสนใจและเข้าใจความหมาย
3. ช่วยเหลือเด็กที่เรียนอ่อนเป็นพิเศษ เด็กบางคนยังจำสระและพยัญชนะไม่ได้ ย่อมจะเขียนคำไม่ได้
ดังนั้นครูจำเป็นต้องเอาใจใส่ให้เด็กจำสระและพยัญชนะให้ได้เสียก่อน นอกจากนี้เมื่อเด็กเรียนการเขียนคำไปแล้วครูไปพบคำเหล่านี้ในวิชาอื่นต้องทบทวนให้เด็กระลึกถึงคำนี้ด้วย เพื่อให้จำได้แม่นยำยิ่งขึ้น
4. ทุกครั้งที่สอนคำใหม่ต้องมีการทบทวนคำเก่าที่เรียนมาแล้วเสียก่อน
5. การทดสอบต้องทำกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะทราบว่าเด็กมีความสามารถในการเขียนคำมากน้อย
เพียงใด
6. มีการบันทึกผลงานของเด็กแต่ละคนไว้ตั้งแต่เริ่มแรกเด็กเขียนคำได้มากน้อยเพียงใด เด็กพัฒนาขึ้น
หรือไม่
7. ดำเนินการสอนที่ถูกต้องให้แก่เด็ก โดยช่วยเหลือเด็กเป็นขั้น ๆ ดังนี้
7.1 ให้เด็กได้ยินคำที่สะกดอย่างชัดเจน
7.2 ให้เด็กเขียนสะกดคำอย่างระมัดระวัง
7.3 ให้เด็กอ่านคำที่สะกด
7.4 ทบทวนคำที่สะกดนั้นว่าถูกต้องหรือไม่
8. ครูเขียนคำใหม่ลงในกระดานแล้วให้นักเรียนลอกตามครูต้องเขียนให้ชัดเจน อ่านง่าย เพื่อป้องกัน
ไม่ให้เด็กลอกผิด
9. เมื่อสะกดคำไปแล้ว เด็กคนใดสะกดผิดครูต้องแก้บนกระดานอย่างชัดเจน อ่านง่าย เพื่อป้องกัน
ไม่ให้เด็กลอกผิด
นอกจากนี้ พิทซ์ เจอรัลด์ ( FitZgerald . 1967 : 38 ) ได้เสนอแนะลำดับขั้นการเขียน
คำไว้ดังนี้
1. ต้องให้นักเรียนรู้ความหมายของคำนั้นเสียก่อน โดยครูเป็นผู้บอกหรือโดยอาศัยพจนานุกรม แล้ว
ให้นักเรียนอภิปรายซ้ำ ข้อสำคัญ คำนั้นต้องเป็นคำที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน
2. ต้องให้นักเรียนอ่านออกเสียงคำได้ถูกต้องชัดเจน จะช่วยให้นักเรียนรู้จักคำนั้นได้แม่นยำยิ่งขึ้นทั้งรูป
คำและการออกเสียง
3. ต้องให้นักเรียนเห็นรูปคำนั้นๆ ว่าประกอบด้วย สระ พยัญชนะ อะไรบ้าง ถ้าเป็นคำหลาย
พยางค์ ควรแยกให้เด็กดูด้วยถ้าทำได้
4. ต้องให้นักเรียนลองเขียนคำนั้นๆ ทั้งดูแบบและไม่ดูแบบ
5. ต้องสร้างสถานการณ์ให้นักเรียนนำคำนั้นๆ ไปใช้ ซึ่งอาจใช้ในการเขียนบรรยายเรื่องราวหรือเขียน
ในกิจกรรมการเรียนที่เหมาะสมกับวัย
ฮอร์น (Horn. 1954 : 19 - 20) ได้เสนอแนะกิจกรรมการสอนเขียนเพื่อให้เด็กสนใจและมีทัศนคติที่ดีต่อการสอนเขียนคำ ไว้ดังนี้
1. ให้นักเรียนได้รู้ถึงคุณค่าในความสามารถของตนที่จะนำการเขียนคำไปใช้กับวิชาอื่น ๆ
2. ให้นักเรียนเข้าใจถึงการเขียนคำในบทเรียนต่างๆ และมีการแก้ไขได้ถูกต้อง
3. ให้นักเรียนได้ทราบถึงผลการเขียนด้วยตนเอง ครูเป็นผู้กระตุ้นชี้แนะเท่านั้น
4. ในแต่ละสัปดาห์ครูทำแผนภูมิก้าวหน้าในการเขียนคำของนักเรียนแต่ละคน
5. ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการตั้งจุดมุ่งหมายของการเขียน อันจะช่วยให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการแสดง
ความคิดเห็นและรับผิดชอบอีกด้วย
6. ครูและนักเรียนควรจะได้แสดงท่าทางประกอบเพื่ออธิบายความหมายของคำให้เข้าใจยิ่งขึ้นด้วย
7. นักเรียนที่เก่งได้ช่วยเหลือนักเรียนที่อ่อน
ไพฑูรย์ ธรรมแสง (2548 : 23 - 24 ) ได้เสนอความคิดเห็นว่า วิธีการฝึกเขียนสะกดคำควรใช้กิจกรรมหลายๆ อย่างปนกัน เช่น
1. ก่อนอื่นต้องให้เด็กรู้จุดมุ่งหมายของการเขียนคำ เพื่อให้เด็กเขียนสะกดคำได้ถูกวรรคตอนและลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อย
2. ให้เด็กรวบรวมคำที่เขียนผิดบ่อยๆ จากหนังสือพิมพ์ ป้ายโฆษณา พร้อมทั้งอธิบายได้ว่าผิดตรงไหน
3. ให้มีการสะกดตัวบนกระดานดำ
4. ให้ช่วยกันเขียนคำยากด้วยอักษรงามๆ ปิดแผ่นป้ายประกาศในห้องเรียน
5. ผูกคำยากเป็นร้อยกรองให้ท่องจำ
6. ส่งเสริมให้เปิดพจนานุกรมเมื่อสงสัย
7. กำหนดศัพท์ให้เขียนเป็นประโยคหรือเป็นเรื่องราว
8. ใช้กิจกรรมเขียนประกาศ โฆษณา ชี้แจงการเขียนรายงานเป็นกิจกรรมร่วมกับการเขียนคำบอก
9. ถ้าบอกให้เขียนเป็นเรื่องราว ต้องให้เด็กทำความเข้าใจเรื่องที่จะเขียนได้อีกด้วยก่อน รวมทั้งคำศัพท์
ที่ยากด้วย
10. เมื่อเขียนผิด ชี้แจงให้เด็กทราบว่าผิดอย่างไร แล้วแก้ไข
การเขียนคำที่ถูกต้องนั้น คือ ความสามารถเขียนคำโดยเรียงได้ลำดับพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกดได้ถูกต้อง การสอนเขียนคำเป็นทักษะที่ต้องอาศัยการฝึกฝนจึงต้องใช้กิจกรรมหลายๆ อย่าง เพื่อให้เด็กเกิดความเพลิดเพลินและจดจำคำต่างๆ ได้แม่นยำและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การศึกษาการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยาก โดยใช้ชุดพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 นี้มีเอกสารที่เกี่ยวข้องดังนี้
นายชีวิตรี อยู่สีมารักษ์ (2543) ได้ทำการวิจัยโดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านบทร้อยกรองคำพื้นฐานภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1โรงเรียนทานสัมฤทธิ์ จังหวัดนนทบุรี พบว่าชุดฝึกทักษะมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งคิดได้เป็นร้อยละ 80 เนื่องจากแบบฝึกแยกแยะเนื้อหาและความรู้ออกเป็นขั้นย่อยๆ ง่ายแก่การเข้าใจเรียงลำดับต่อเนื่องกัน ทำให้นักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
นางศิริรัตน์ ศุภนราพรรค์ ( 2544) ได้ทำการวิจัยโดยใช้ชุดฝึกในการแก้ปัญหาการเขียนคำยากของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนชุมชนแหลมงอบ จังหวัดตราด พบว่าชุดฝึกทักษะมีประสิทธิภาพปรากฏผลการประเมินผู้เรียนก่อนเรียนได้คะแนนคิดเป็นร้อยละ 55.17 และหลังการใช้ชุดฝึกผู้เรียนได้คะแนนร้อยละ 82.60
จากการการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับ ชุดแบบฝึกพัฒนาการเขียนสะกดคำยาก พอจะสรุปได้ว่า การพัฒนารูปแบบของการเขียนสะกดคำยากให้มีความเข้าใจและง่ายต่อการเรียนการสอนโดยการนำไปประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนภาษาไทยหรือสามารถนำไปบูรณาการในกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ ได้ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของชุดแบบฝึกพัฒนาการเขียนสะกดคำยาก ให้มีความง่าย สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้นและเหมาะสมกับบทเรียนเมื่อนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนยังสามารถทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของผู้เรียนสูงขึ้นด้วย ผู้ศึกษาจึงใช้แบบฝึกพัฒนาการเขียนสะกดคำยาก ในการพัฒนานักเรียนที่มีปัญหาในการสะกดคำนี้
บทที่ 3
วิธีดำเนินการวิจัย
การศึกษาเรื่องการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยากโดยใช้ชุดพัฒนาทักษะ การเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในครั้งนี้มีขั้นตอนและวิธีดำเนินการวิจัย ดังนี้
1. กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่
1.1 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2567 ภาคเรียนที่ 1 จำนวน 10 คน
2. ตัวแปรที่ศึกษา
2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยาก
2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลการเรียนวิชาภาษาไทย ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2.3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โดยนำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยากไปใช้ประกอบการเรียน มีการทดสอบผลการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนและนำเอาผลการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนมาเปรียบเทียบผลการเรียนโดยการการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าร้อยละ
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะ เรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยากโดย
ใช้ชุดพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านปง ภาคเรียนที่ 1
ปีการศึกษา 2567 จำนวน 10 คน ผู้ศึกษาได้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้
3.1 สำรวจนักเรียนที่มีปัญหาด้านการเขียนสะกดคำที่ไม่ถูกต้อง ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
3.2 ชี้แจงวัตถุประสงค์และแนวการใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะ เรื่องการพัฒนาทักษะการเขียน
สะกดคำยากโดยใช้ชุดพัฒนาทักษะ การเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้กับกลุ่มประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ซึ่งเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีปัญหาการเขียนสะกดคำยากไม่ถูกต้อง โรงเรียนบ้านปง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 10 คน
3.3 ผู้ศึกษาให้นักเรียนที่มีปัญหาด้านการเขียนสะกดคำ ทดสอบการเขียนสะกดคำก่อนเรียน โดยใช้ข้อสอบการเขียนสะกดคำ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยหน่วยการเรียนรู้ที่ 15 เรื่อง สุภาษิตพระร่วง
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
3.4 ผู้ศึกษา ทดสอบการเขียนสะกดคำหลังเรียน โดยใช้ข้อสอบการเขียนสะกดคำ ระยะเวลาที่ใช้ใน
การวิจัยครั้งนี้ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 (วันที่ 2 เดือน กันยายน พ.ศ. 2567 ถึงวันที่ 13 เดือนกันยายน พ.ศ. 2567)
3.5 ผู้ศึกษาดำเนินการทดลองโดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 15 เรื่อง สุภาษิตพระร่วงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เวลาใน การจัดการเรียนรู้ใช้จำนวน 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยใช้ชั่วโมงในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลาหลังเลิกเรียนและ ทำการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนบรรจุไว้ในจัดการเรียนรู้ดังกล่าวด้วย ซึ่งเริ่มจากวันที่ 2 เดือนกันยายน พ.ศ. 2567 ถึงวันที่ 13 เดือน กันยายน พ.ศ. 2567 รวมทั้งสิ้น 10 ชั่วโมง
3.6 หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามกำหนดการสอนที่วางไว้แล้ว ให้นักเรียน ทำแบบทดสอบหลังเรียน (Post - test) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยากโดยใช้ชุดพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งเป็นแบบทดสอบฉบับเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบก่อนเรียน
ข้อมูล/ผลที่จะเก็บ วิธีการ เครื่องมือ จำนวนครั้ง/ระยะเวลาที่เก็บ
ผลคะแนนความสามารถในการเรียนภาษาไทย ใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะและการทดสอบ -แบบฝึกพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ จำนวน 4 ชุด
-แบบทดสอบ จำนวน 4 ชุด ทดสอบ 4 ครั้ง
ก่อนการเรียน 4 ครั้ง
หลังการเรียน 4 ครั้ง
4. วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล
4.1 หาค่าเฉลี่ยคะแนนความสามารถทางการเรียนภาษาไทยการเขียนคำยากก่อนและหลังการฝึก
4.2 เปรียบเทียบคะแนนความแตกต่างระหว่างก่อนฝึกและหลังฝึกเป็นรายบุคคล
4.3 หาค่าร้อยละจำนวนนักเรียนที่มีข้อบกพร่องในการเขียนสะกดคำยาก
4.4 เปรียบเทียบคะแนนความแตกต่างระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน
5. สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ
บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
จากการศึกษาเรื่องการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยากโดยใช้ชุดพัฒนาทักษะ การเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้ศึกษาได้วิเคราะห์ข้อมูลและเสนอผลออกเป็น 2 ตอนดังนี้
ตอนที่ 1 ผลการพัฒนานักเรียนที่มีปัญหาด้านทักษะการเขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ตอนที่ 2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ชุดแบบฝึกการเขียนคำยาก กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4.1 ผลการพัฒนานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกพัฒนาทักษะ เรื่องการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยาก จำนวน 4 ชุด ดังนี้
ตารางที่ 4.1 เปรียบเทียบผลคะแนน วิชาภาษาไทย(การเขียนสะกดคำยาก) ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปี 2567 ภาคเรียนที่ 1 จำนวน 10 คน จากการใช้ชุดพัฒนาการเขียนสะกดคำ จำนวน 4 ชุด
ที่ ชื่อ สกุล หน่วยที่ 1
(10 คะแนน) หน่วยที่ 2
(10 คะแนน) หน่วยที่ 3
(10 คะแนน) หน่วยที่ 4
(10 คะแนน) รวม
ก่อนเรียน รวมหลังเรียน ผลการพัฒนา
ก่อน หลัง ผล ก่อน หลัง ผล ก่อน หลัง ผล ก่อน หลัง ผล
1 เด็กชายพงค์ศักดิ์ กิติสม 4 6 +2 3 6 +3 5 7 +2 4 7 +3 16 26 +10
2 เด็กชายปิยกร อินตะ 3 6 +3 4 7 +3 5 7 +2 4 7 +3 16 27 +11
3 เด็กชายวิวัฒน์ ปาแฮ 5 7 +2 5 7 +2 4 6 +2 5 6 +1 19 26 +7
4 เด็กชายณัฐกร จินดาธิ 4 7 +3 4 6 +2 3 6 +3 5 8 +3 16 27 +11
5 เด็กชายปิยภัทร สอนตะพาน 4 6 +2 4 6 +2 4 7 +3 6 7 +1 18 26 +8
6 เด็กหญิงนันธิชา วงศ์ลังกา 6 8 +2 5 7 +2 5 7 +2 4 6 +2 20 28 +8
7 เด็กหญินราทิพย์ ตาเกิด 5 7 +2 5 7 +2 3 6 +3 5 7 +2 18 27 +9
8 เด็กหญิงกณิกา ปู่จันทร์ 5 8 +3 4 6 +2 3 6 +3 6 7 +1 18 27 +9
9 เด็กหญิงฟ้ารุ่ง บุญนิยม 6 8 +2 3 6 +3 4 7 +3 6 8 +2 19 29 +10
10 เด็กหญิงสมพร ลุงจันตา 3 6 +3 4 7 +3 5 8 +3 4 7 +3 16 28 +12
ค่าเฉลี่ย 4.5 6.9 2.4 4.1 6.5 2.4 4.1 6.7 2.6 4.9 7.0 2.1 17.6 27.1 +9.5
ค่าเฉลี่ยก่อนเรียน 4.40
ค่าเฉลี่ยหลังเรียน 6.78
ผลการพัฒนา 2.38
ผลการพัฒนาร้อยละ 23.80
จากตารางที่ 4.1 เมื่อคิดคะแนนเฉลี่ย 4 ชุดการเรียนรู้ คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนของนักเรียนเท่ากับ 4.40 คะแนน และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 6.78 คะแนน
เมื่อคิดจากคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน - คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน = ผลการพัฒนา
แทนค่า 6.78 4.40= 2.38คะแนน
สรุปได้ว่า ภายหลังการใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยากนักเรียนมีคะแนนผลการเขียนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.38 คะแนนคิดเป็นร้อยละ 23.80 และเมื่อคิดคะแนนเฉลี่ยรวมก่อนเรียนเท่ากับ 44.00 คะแนน และคะแนนเฉลี่ยรวมหลังเรียนเท่ากับ 67.75 คะแนนเมื่อคิดจากคะแนนเฉลี่ยรวมหลังเรียน - คะแนนเฉลี่ยรวมก่อนเรียน = ผลการพัฒนาแทนค่า 67.8044.00= 23.80คะแนน
สรุปได้ว่า ภายหลังการใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยาก นักเรียนมีคะแนนผลการเขียน เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 23.75 คะแนนคิดเป็นร้อยละ 23.80 คะแนน
4.2 คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน
ตารางที่ 4.2 การวิเคราะห์ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน วิชาภาษาไทย
เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปี 2567
เลขที่ ชื่อ - สกุล ก่อน หลัง
ผลการพัฒนา
40 40
1 เด็กชายพงค์ศักดิ์ กิติสม 20 28 8
2 เด็กชายปิยกร อินตะ 13 26 13
3 เด็กชายวิวัฒน์ ปาแฮ 15 25 10
4 เด็กชายณัฐกร จินดาธิ 18 28 10
5 เด็กชายปิยภัทร สอนตะพาน 23 30 7
6 เด็กหญิงนันธิชา วงศ์ลังกา 21 32 11
7 เด็กหญินราทิพย์ ตาเกิด 15 25 10
8 เด็กหญิงกณิกา ปู่จันทร์ 16 29 13
9 เด็กหญิงฟ้ารุ่ง บุญนิยม 18 30 12
10 เด็กหญิงสมพร ลุงจันตา 18 32 14
ผลรวม 177 285 108
ค่าเฉลี่ย 17.70 28.50 10.80
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.90 2.46 2.14
ค่าร้อยละ 44.25 71.25 27.00
จากตารางที่ 4.2 พบว่าค่าเฉลี่ย ก่อนเรียน เท่ากับ 17.70 หลังเรียน 28.50 มีผลคะแนนเพิ่มขึ้น 10.80 คิดเป็นร้อยละ 27.00
บทที่ 5
สรุปผล
5.1 สรุปผลการศึกษา
การศึกษาเรื่องการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยากโดยใช้ชุดพัฒนาทักษะ การเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านปง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการพัฒนานักเรียนที่มีปัญหาด้านทักษะการเขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ชุดแบบฝึกการเขียนคำยากกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประชากรหรือกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 10 คน โรงเรียนบ้านปง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย
การเขียนสะกดคำยากโดยใช้ชุดพัฒนาทักษะ การเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งมีจำนวน 4 ชุด และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การเขียนสะกดคำยาก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละและนำเสนอข้อมูลในรูปตารางประกอบคำบรรยาย
สรุปผลการศึกษา
การศึกษาการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยากโดยใช้ชุดพัฒนาทักษะ การเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านปง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า
1) ผลการพัฒนานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยาก
โดยใช้ชุดพัฒนาทักษะ การเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.38 คะแนนคิดเป็นร้อยละ 23.80 และเมื่อคิดคะแนนเฉลี่ยรวมก่อนเรียนเท่ากับ 44.00 คะแนน และคะแนนเฉลี่ยรวมหลังเรียนเท่ากับ 67.75 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 23.80 คะแนน
2) ผลการศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน วิชาภาษาไทย เรื่องการ
พัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยากโดยใช้ชุดพัฒนาทักษะ การเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ค่าเฉลี่ย ก่อนเรียน เท่ากับ 17.70 หลังเรียน 28.50 มีผลคะแนนเพิ่มขึ้น 10.80 คิดเป็นร้อยละ 27.00
5.2 อภิปรายผล
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์การเขียนสะกดคำ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการสอนโดยใช้ชุดพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะการเขียนสะกดคำสูงกว่าก่อนเรียน โดยใช้ชุดพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ อาจเป็นเพราะสาเหตุต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. นักเรียนกลุ่มเป้าหมายจำนวน 10 คน ที่ผู้วิจัยนำมาทดลอง มีทักษะการอ่านในระดับดี เพราะการวิจัยในครั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ต้องเป็นนักเรียนที่อ่านหนังสือได้แต่มีปัญหาด้านการเขียนสะกดคำที่ไม่ถูกต้อง และผู้ผู้วิจัยต้องการนำนักเรียนกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวมาพัฒนาด้านทักษะการเขียนสะกดคำให้ถูกต้อง เพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนระดับสูงต่อไป
2. ชุดพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ ทั้ง 4 ชุด เป็นสื่อประกอบในการฝึกและพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำให้แก่นักเรียนได้เป็นอย่างดี เนื่องจากในแต่ละชุดแบบฝึก มีลักษณะของกิจกรรมที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในการฝึกพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำได้ดียิ่งขึ้น
3. แบบทดสอบการเขียนสะกดคำ ก่อนเรียนและหลังเรียน ผู้วิจัยในนำเอาคำที่ใช้ในการจัดกิจกรรมตามชุดพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ ทั้ง 4 ชุด มาใช้วัดผลสัมฤทธิ์การเขียนสะกดคำของนักเรียน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะการเขียนสะกดคำหลังเรียน โดยใช้ชุดพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ สูงกว่าก่อนเรียน เนื่องจากนักเรียนส่วนใหญ่จดจำคำศัพท์ได้
จากที่กล่าวมาข้างต้นพอสรุปได้ว่า การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำยากจากการจัดการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางด้านทักษะการเขียนสะกดคำได้ดีขึ้นและเป็นนวัตกรรมอย่างหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องทักษะการเขียนที่เกิดขึ้นขณะจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้ ทำให้ผู้เรียนมีทักษะขั้นพื้นฐานทางด้านการเขียนที่ถูกต้อง มีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนในวิชาต่างๆ
สอดคล้องกับนายชีวิตรี อยู่สีมารักษ์ (2543) ได้ทำการวิจัยโดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านบทร้อยกรองคำพื้นฐานภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1โรงเรียนทานสัมฤทธิ์ จังหวัดนนทบุรี พบว่าชุดฝึกทักษะมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งคิดได้เป็นร้อยละ 80 เนื่องจากแบบฝึกแยกแยะเนื้อหาและความรู้ออกเป็นขั้นย่อยๆ ง่ายแก่การเข้าใจเรียงลำดับต่อเนื่องกัน ทำให้นักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
นางศิริรัตน์ ศุภนราพรรค์ ( 2544) ได้ทำการวิจัยโดยใช้ชุดฝึกในการแก้ปัญหาการเขียนคำยากของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนชุมชนแหลมงอบ จังหวัดตราด พบว่าชุดฝึกทักษะมีประสิทธิภาพปรากฏผลการประเมินผู้เรียนก่อนเรียนได้คะแนนคิดเป็นร้อยละ 55.17 และหลังการใช้ชุดฝึกผู้เรียนได้คะแนนร้อยละ 82.60
5.3 ผลการทดสอบสมมติฐาน
จากการเปรียบเทียบผลของการใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาการเขียนสะกดคำยาก ในการใช้ประกอบการสอนวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่า คะแนนจากการทดสอบหลังเรียนเพิ่มขึ้นมากกว่าคะแนนจากการทดสอบก่อนเรียน จึงสามารถสรุปได้ว่าเป็นไปตามสมมติฐาน
5.4 ข้อเสนอแนะ
1. ควรมีการตรวจสอบความคงทนเรื่องทักษะการเขียนสะกดคำกับกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้
เป็นระยะๆ
2. ควรมีการจัดทำชุดพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำในหน่วยการเรียนรู้อื่นๆ หรือในกลุ่มสาระ
อื่นๆ เพื่อการพัฒนาทักษะของนักเรียน
บรรณานุกรม
กรมวิชาการ. คู่มือการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : องค์การรับส่งสินค้า
และพัสดุภัณฑ์. 2542.
กระทรวงศึกษาธิการ. กรมวิชาการ. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, 2551.
ก่อ สวัสดิพาณิชย์และคณะ. แบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ผู้เรียนและการจัดทำ
ผลงานวิชาการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ :
ธารอักษร, 2524.
นายชีวิตรี อยู่สีมารักษ์. การจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านบทร้อยกรองคำพื้นฐาน
ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม.มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2543.
นางศิริรัตน์ ศุภนราพรรค์. การพัฒนาแผนการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องการแก้ปัญหาการเขียนคำยากของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2544.
รองรัตน์ อิสรภักดี. การเขียนเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น, 2526.
เทือก กุสุมา ณ อยุธยา. การเขียนเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น, 2526.
พิทซ์ เจอรัลด์. ทฤษฎีการเขียน. กรุงเทพฯ : บริษัท 21 เซ็นจูรี่จำกัด, 2547.
ฮอร์น. ปัญหาและกลวิธีการเขียนภาษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, 2533.
ไพฑูรย์ ธรรมแสง. การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้หลักภาษาไทย เรื่อง การฝึกเขียนสะกดคำ.
การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2548.
ภาคผนวก
แบบทดสอบการเขียน ก่อนและหลังเรียน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 15 เรื่อง สุภาษิตพระร่วง
คำชี้แจง นักเรียนเขียนคำให้ถูกต้อง โดยให้ครูอ่านให้ฟังจากคำที่กำหนดให้ต่อไปนี้
1. ขวาก 21. ไวย
2. ข้อง 22. เรือเพรียว
3. คันโพง 23. สถูป
4. คิรีมาศ 24. สัด
5. เครื่องอัฏฐะ 25. สารท
6. จวน 26. สันตะวา
7. จับเขม่า 27. เหียนหัน
8. ทักษิณาวรรต 28. กฐิน
9. ฐานบัทม์ 29. พรรษา
10. ตกประดาษ 30. บพิตร
11. ตรุษ 31. พระอัฐิ
12. ประทักษิณ 32. สุคนธา
13. ผูกโบสถ์ 33. ทัศนา
14. พระวสา 34. ควันโขมง
15. โพงพาง 35. นิโรธ
16. เพียญชนัง 36. ชลมารค
17. ผู้รั้ง 37. พสุธา
18. มุลิกา 28. อุโบสถ
19. มะเกลือ 39. นิมนต์
20. วสา 40. พระเจดีย์
แบบทดสอบการเขียนสะกดคำ ก่อนเรียนและหลังเรียน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 15 เรื่อง สุภาษิตพระร่วง
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567
ชื่อ
สกุล
..
1. 21.
2. 22.
3. 23.
4. 24.
5. 25.
6. 26.
7. 27.
8. 28.
9. 29.
10. 30.
11. 31.
12. 32.
13. 33.
14. 34.
15. 35.
16. 36.
17. 37.
18. 28.
19. 39.
20. 40.
คะแนนเต็ม 40 คะแนน คะแนนที่ได้
คะแนน
ชุดพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่ 1
คำสั่ง : ให้นักเรียนนำ พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ มาเรียงเป็นคำที่ถูกต้อง
คำที่กำหนดให้เป็นที่อยู่ในเรื่อง สุภาษิตพระร่วง
ตัวอย่าง ร ะ เ ดี พ ย์ จ = พระเจดีย์
1. ะ ก ร ษิ ป ทั ณ =
.
2. รี คิ า ศ ม =
.
3. ม์ ฐ น ท บั า =
.
4. ต พิ บ ร =
.
5. ล ม ร ช ค า =
.
6. ระ เ จ พ ย์ ดี =
.
7. โ ส อุ ถ บ =
.
8. น า ต ะ สั ว =
.
9. พ เ อ เ รี ย รื ว =
.
10. ข บ เ ม่ จั า =
.
ชื่อ
สกุล
..
เลขที่
.
คะแนนเต็ม 10 คะแนน คะแนนที่ได้
คะแนน
เฉลยการเขียนสะกดคำชุดที่ 1
1. ประทักษิณ
2. คิรีมาศ
3. ฐานบัทม์
4. บพิตร
5. ชลมารค
6. พระเจดีย์
7. อุโบสถ
8. สันตะวา
9. เรือเพรียว
10. จับเขม่า
ชุดพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่ 2
คำสั่ง: ให้นักเรียนเติมอักษรที่หายไปให้ถูกต้อง ตามความหมายที่กำหนดให้
ตัวอย่าง เครื่องจักสานสำหรับใส่ปลา .......อ....... (ข้อง)
1. ชื่อพันธุไม้พุ่มชนิดหนึ่ง .......า.......กุ้.......
2. เครื่องวิดน้ำ มีคันถือยาว .......น.......พ.......
3. ชื่อเพลงพื้นบ้านชนิดหนึ่ง .......รึ่.......ท่.......น
4. ที่อยู่อาศัยของเจ้าเมือง .......ว.......
5. วิธีแต่งผมของผู้หญิงสมัยโบราณ .......บ.......ข.......า
6. วันออกพรรษา พ.......ว.......า
7. เครื่องมือดักปลาชนิดหนึ่ง .......พ.......พ.......ง
8. ตำแหน่งผู้รักษาการหัวเมืองต่างๆ .......รั้.......
9. ฤดูฝน ว.......า
10. ชื่อมาตราตวงโบราณ .......ด
ชื่อ
สกุล
..
คะแนนเต็ม 10 คะแนน คะแนนที่ได้
คะแนน
เฉลยการเขียนสะกดคำชุดที่ 2
1. ก้ามกุ้ง
2. คันโพง
3. ครึ่งท่อน
4. จวน
5. จับเขม่า
6. พระวสา
7. โพงพาง
8. ผู้รั้ง
9. วสา
10. สัด
ชุดพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่ 3
คำสั่ง: ให้นักเรียนเขียนคำ จากคำอ่านต่อไปนี้ ให้ถูกต้อง
ตัวอย่าง คิ รี - มาด = คิรีมาศ
1. ทัก สิ นา วัด =
.
2. ตก ประ ดาด =
.
3. ผูก โบด =
.
4. เพียน ชะ -นัง =
.
5. กะ ถิน =
.
6. พระ อัด ถิ =
.
7. สุ คน ทา =
.
8. ควัน ขะ - โหมง =
.
9. ทัด สะ - นา =
.
10. พะ สุ ทา =
.
ชื่อ
สกุล
..
คะแนนเต็ม 10 คะแนน คะแนนที่ได้
คะแนน
เฉลยการเขียนสะกดคำชุดที่ 3
1. ทักษิณาวรรต
2. ตกประดาษ
3. ผูกโบสถ์
4. เพียญชนัง
5. กฐิน
6. พระอัฐิ
7. สุคนธา
8. ควันโขมง
9. ทัศนา
10. พสุธา
ชุดพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่ 4
คำสั่ง: ให้นักเรียนเขียนคำอ่านที่กำหนดให้ ลงในช่องว่างให้ได้ใจความที่ถูกต้อง
บอ พิด เจ ดี
ถะ หวิน ราด ชะ บุ ระ นะ- วอ ระ วิ หาน
ตุ๊ก กะ ตา ชี - วัน
ขะ โหมง พระ สุ ริ ยง
นะ พา ไล ปะ ทุม ชาด
1. สุนทรภู่เดินทางจากวัด
..พร้อมหนูพัด
2. ครั้งรุ่งเช้าจึงได้ไป
..เจดีย์ภูเขาทอง
3. ถึงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาด คิดถึงบาท
..อดิศร
4. ถึงโรงเหล้าเต่ากลั่นควัน
..
5. ถึงสามโคกโศก
..ถึงปิ่นเกล้า
6.
..ลงลับพยับฝน
7. ไปเจดีย์ที่ชื่อภูเขาทอง ดูสูงล่องลอยฟ้า
..
8. พอกราบพระปะดอก
..
9. เสียใจเจียนจะดิ้นสิ้น
..
10. เดี๋ยวนี้มอญถอนไรจุกเหมือน
..
ชื่อ
สกุล
..
คะแนนเต็ม 10 คะแนน คะแนนที่ได้
คะแนน
เฉลยการเขียนสะกดคำชุดที่ 4
1. ราชบุรณราชวรวิหาร
2. เจดีย์
3. บพิตร
4. โขมง
5. ถวิล
6. พระสุริยง
7. นภาลัย
8. ปทุมชาติ
9. ชีวัน
10. ตุ๊กตา