บทความทางวิชาการ
ชื่อเรื่อง รูปแบบการพัฒนาศักยภาพครูในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ AI
เพื่อจัดการเรียนรู้และยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของโรงเรียนหนองขมารวิทยาคม
ชื่อผู้วิจัย สิบเอกไกรศรี ชิดนอก
ปีที่พิมพ์ 2568
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาการใช้ AI ในการจัดการเรียนรู้ 2) พัฒนารูปแบบการพัฒนาศักยภาพครู 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบ และ 4) ประเมินความพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้อง โดยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นครูและนักเรียนโรงเรียนหนองขมารวิทยาคม ผลการศึกษาพบว่า ครูมีความรู้ด้าน AI ในระดับน้อย (ค่าเฉลี่ย = 2.45) แต่มีความต้องการพัฒนาสูง (ค่าเฉลี่ย = 4.52) รูปแบบที่พัฒนาประกอบด้วย 6 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ กระบวนการ เนื้อหาสาระ การประเมินผล และเงื่อนไขความสำเร็จ หลังการทดลองใช้ พบว่าสมรรถนะครูเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (ค่าเฉลี่ย = 4.28) และผลสัมฤทธิ์นักเรียนสูงขึ้น (ค่าเฉลี่ย = 75.86) ด้วยขนาดอิทธิพลสูง (Cohens d = 1.46) ผู้เกี่ยวข้องมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด บทความนี้เสนอแนะให้สถานศึกษาสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานและสร้างชุมชนการเรียนรู้ (PLC) ส่วนระดับนโยบายควรจัดสรรงบประมาณและพัฒนาหลักสูตรครูให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัล
คำสำคัญ ปัญญาประดิษฐ์ AI, การพัฒนาครู, ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การจัดการเรียนรู้
บทนำ
ในยุคดิจิทัล เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI มีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปการศึกษา โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพการสอนและการเรียนรู้ (UNESCO, 2021) อย่างไรก็ดี ครูในประเทศไทยยังขาดทักษะและความมั่นใจในการใช้ AI (สุทธิพงษ์ และคณะ, 2564) การวิจัยนี้จึงมุ่งพัฒนารูปแบบการเสริมศักยภาพครูในการประยุกต์ใช้ AI เพื่อจัดการเรียนรู้และยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน โดยศึกษากรณีศึกษาโรงเรียนหนองขมารวิทยาคม
วิธีดำเนินการวิจัย
1. กลุ่มตัวอย่าง
- ครูศึกษา 18 คน และนักเรียน 118 คน จากโรงเรียนหนองขมารวิทยาคม
2. เครื่องมือวิจัย
- แบบสอบถามความรู้และทักษะครู
- แบบประเมินสมรรถนะครู (Rubric)
- แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์นักเรียน
3. กระบวนการวิจัย
- ขั้นที่ 1 วิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการ
- ขั้นที่ 2 ออกแบบรูปแบบการพัฒนาครู 6 องค์ประกอบ
- ขั้นที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบเป็นเวลา 6 เดือน
- ขั้นที่ 4 ประเมินผลเชิงปริมาณและคุณภาพ
ผลการวิจัย
1. สภาพปัญหา
- ครู 82% ขาดทักษะการใช้ AI ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้
- 75% ของโรงเรียนมีโครงสร้างพื้นฐานไม่เพียงพอ (เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง)
2. ประสิทธิผลของรูปแบบ
- สมรรถนะครูเพิ่มขึ้นจากระดับน้อยเป็นระดับมาก (ค่าเฉลี่ยก่อน = 2.45, หลัง = 4.28)
- ผลสัมฤทธิ์นักเรียนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15% ในทุกรายวิชา
3. ความพึงพอใจ
- ครู 90% พึงพอใจกับรูปแบบการฝึกอบรมแบบปฏิบัติจริง
- นักเรียน 85% ชื่นชอบการเรียนรู้ผ่าน AI Tools
อภิปรายผล
1. ความสำเร็จของรูปแบบ
- การบูรณาการแนวคิด Constructionism และ TPACK ช่วยให้ครูออกแบบกิจกรรมได้อย่างสร้างสรรค์ (Darling-Hammond, 2017)
- ระบบพี่เลี้ยง (Mentoring) และ PLC ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Wang & Chen, 2021)
2. ข้อจำกัด
- ระยะเวลาการวิจัย 6 เดือนอาจสั้นเกินไปสำหรับการประเมินผลระยะยาว
- กลุ่มตัวอย่างจำกัดเฉพาะโรงเรียนเขตเมือง
ข้อเสนอแนะ
1. เชิงปฏิบัติการ
- สถานศึกษาควรจัดสรรงบประมาณสำหรับอุปกรณ์ AI และพัฒนาทีมนิเทศเฉพาะทาง
- ครูควรใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริมการสอน ไม่ใช่ทดแทนการสอนแบบเดิม
2. เชิงนโยบาย
- กระทรวงศึกษาธิการควรผลักดันนโยบาย AI in Education และขยายผลสู่โรงเรียนชนบท
3. การวิจัยต่อไป
- ศึกษาการใช้ AI ในรายวิชาเฉพาะ (เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์)
- วิจัยเปรียบเทียบประสิทธิภาพของ AI Tools ต่างๆ
เอกสารอ้างอิง
- กระทรวงศึกษาธิการ. (2567). นโยบายและจุดเน้นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567.
- UNESCO. (2021). AI and education Guidance for policy-makers.
- Huang, Y., et al. (2022). AI in education A comprehensive review.