ชื่องานวิจัย การพัฒนารูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์เพื่อพัฒนาการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1
ผู้วิจัย นางกันยมาส ชูจีน
ปีการศึกษา 2567
บทคัดย่อ
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารเพื่อพัฒนาการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์เพื่อพัฒนาการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์เพื่อพัฒนาการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 4) เพื่อประเมินรูปแบบและปรับปรุงรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์เพื่อพัฒนาการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods research) แบ่งเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารเพื่อพัฒนา การอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ขั้นตอน 1.1 การศึกษาข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง แหล่งข้อมูล ได้แก่ เอกสารรายงานผลการประเมินผลการพัฒนาความสามารถด้านการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 18 เล่ม ขั้นตอนที่ 1.2 การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการ ผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 70 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 รวม 70 คน ผู้ปกครองนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 รวม 70 คน จากสถานศึกษา 35 แห่ง โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ขั้นตอนที่ 1.3 การศึกษากระบวนการบริหาร ที่ดี (Best Practices) แหล่งผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต้นแบบและประสบความสำเร็จด้านการพัฒนาการอ่านและการเขียน จำนวน 3 เขตพื้นที่การศึกษา และ ขั้นตอนที่ 1.4 การศึกษากลยุทธ์ ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 10 คน ครูผู้สอนภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 10 คน จากสถานศึกษาที่มีผลการประเมินคุณภาพการอ่าน (RT : Reading Test) ปีการศึกษา 2566 สูงกว่าระดับประเทศ จำนวน 10 แห่ง และต่ำกว่าระดับประเทศ จำนวน 10 แห่ง และศึกษานิเทศก์ จำนวน 5 คน รวม 25 คน ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ ผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 11 คน ระยะที่ 3 การทดลองใช้รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ ประชากร ได้แก่ สถานศึกษา จำนวน 117 แห่ง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ สถานศึกษาจำนวน 9 แห่ง โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผู้ให้ข้อมูลจากสถานศึกษากลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาทุกคน จำนวน 9 คน ครูผู้สอนภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ทุกคน จำนวน 17 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ทุกคน และผู้ปกครองนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 27 คน และระยะที่ 4 การประเมินรูปแบบและปรับปรุงรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ บุคคคลจากสถานศึกษากลุ่มทดลองใช้รูปแบบ ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 9 คน ครูผู้สอนภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 14 คน และผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 9 คน รวม 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ดังนี้ 1) แบบบันทึกและแบบวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศ 2) แบบสัมภาษณ์สภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการเกี่ยวกับการบริหารเพื่อพัฒนาการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 4 ฉบับ 3) แบบสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) เกี่ยวกับกระบวนการบริหารที่ดี (Best Practices) 4) แบบบันทึกสัมภาษณ์แบบกลุ่ม (Group interview) เกี่ยวกับการกำหนด กลยุทธ์ 5) (ร่าง) รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ 6) (ร่าง) คู่มือการใช้รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ 7) แนวคำถามการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ (Connoisseurship) เพื่อประเมิน (ร่าง) รูปแบบและ (ร่าง) คู่มือการใช้รูปแบบ 8) แบบสัมภาษณ์ความพร้อมของสถานศึกษาก่อนทดลองใช้รูปแบบ 9) แบบทดสอบการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 (RWT: Reading Writing Test) 10) แบบบันทึกผลการประเมินความสามารถด้านการอ่านของผู้เรียน (RT: Reading Test) และความสามารถด้านการเขียนของผู้เรียน (WT: Writing Test) 11) แบบประเมินความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการนำกลยุทธ์สู่การปฏิบัติของ ผู้บริหารสถานศึกษา 12) แบบประเมินความรู้ความเข้าใจการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ของครูผู้สอน 13) แบบนิเทศการใช้รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ 14) แบบประเมินการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา 15) แบบประเมินการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 16) แบบสอบถามความพึงพอใจ/ความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง จำนวน 3 ฉบับ และ 17) แบบสอบถามการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองนักเรียนและภาคีเครือข่าย และ 18) แบบประเมินคุณภาพของรูปแบบ ผลการตรวจสอบเครื่องมือ ทุกฉบับมีค่า IOC ระหว่าง 0.60 ถึง 1.00 ค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคของแบบนิเทศ แบบประเมินการบริหารและการจัดการเรียนการสอน แบบประเมินความพึงพอใจ แบบสอบถามการมีส่วนร่วม และแบบประเมินคุณภาพของรูปแบบ อยู่ระหว่าง 0.700 ถึง 0.983 แบบทดสอบการอ่านและการเขียน และแบบประเมินความรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน ทุกฉบับมีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.21 ถึง 0.90 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.20 ถึง 0.69 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน-มาตรฐาน t-test และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
ผลการวิจัย พบว่า
1. ข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารเพื่อพัฒนาการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 ดังนี้ 1) สภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการ ได้แก่ นักเรียนส่วนมากอ่านไม่ออก เขียนผิดพลาด กลุ่มชาติพันธุ์ การเลี้ยงดู ปัญหาร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และจิตใจ ติดโทรศัพท์ ไม่มีนิสัยรักกการอ่าน ขาดการเตรียมความพร้อมในระดับปฐมวัย ขาดแคลนครู ครูขาดความเชี่ยวชาญและเทคนิคในการสอนการอ่านและการเขียน ผู้บริหารสถานศึกษาขาดสมรรถนะการบริหารในสถานการณ์ที่ขาดแคลน ขาดความชัดเจนในการนำนโยบายและแนวทางการพัฒนาสู่การปฏิบัติที่เป็นระบบ ระบบ/โครงสร้างการบริหารจัดการไม่เหมาะสม งบประมาณไม่เพียงพอ การจัดสรรทรัพยากรจำกัด ขาดแคลนสื่อ/สื่อดิจิทัลและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไม่มีคุณภาพ สภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ หลักสูตรไม่ตอบสนองต่อความแตกต่างของผู้เรียน การนิเทศไม่เป็นระบบ ผู้ปกครองนักเรียนส่วนหนึ่งฐานะยากจน ไม่ได้ส่งเสริมการอ่านและการเขียนเท่าที่ควร ครอบครัวคนต่างด้าวไม่รู้ภาษาไทย ขาดกิจกรรมเชื่อมโยงระหว่างบ้าน โรงเรียนและชุมชน การระดมทรัพยากรยังมีน้อย ต้องการให้มีการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน มีนโยบายด้านการอ่านและการเขียนชัดเจน พัฒนาสื่อทันสมัย พัฒนาแหล่งเรียนรู้ พัฒนาการเรียนการสอนและกิจกรรมพัฒนาการอ่านและการเขียน พัฒนาการนิเทศอย่างเป็นระบบ จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และส่งเสริมการมี ส่วนร่วมของผู้ปกครองและภาคีเครือข่าย 2) กระบวนการบริหารที่ดี (Best Practices) ของสำนักงานเขตพื้นที่ต้นแบบ พบว่า เขตพื้นที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน มีการสำรวจข้อมูลพื้นฐานของนักเรียน สนับสนุนสื่อ จัดกลุ่มโรงเรียนตามระดับการพัฒนา จัดตั้งทีมวิชาการเฉพาะด้าน และนิเทศ ติดตาม ให้คำปรึกษา ผู้บริหารสถานศึกษากำหนดนโยบายอ่านออกเขียนได้ภายในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ส่งเสริมการพัฒนาครูผู้สอน ครูจัดการเรียนรู้ตามความสามารถของนักเรียน สอนด้วยวิธีการหลากหลาย สร้างแรงจูงใจ นิเทศ ติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน และ 3) การศึกษากลยุทธ์เพื่อพัฒนาการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ได้ 4 กลยุทธ์ ดังนี้ (1) พัฒนาความสามารถด้านการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 (2) พัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในการพัฒนาการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 (3) พัฒนาระบบบริหารจัดการเพื่อพัฒนาการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ (4) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองนักเรียนและภาคีเครือข่ายเพื่อพัฒนาการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
2. การพัฒนารูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์เพื่อพัฒนาการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พบว่า รูปแบบดังกล่าว ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) ระบบและกลไกลของรูปแบบ 4) กระบวนการดำเนินงานของรูปแบบ 4 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (2) การกำหนดกลยุทธ์ (3) การนำกลยุทธ์สู่การปฏิบัติ และ (4)การควบคุมกลยุทธ์ และ 5) เงื่อนไขการนำรูปแบบไปใช้
3. การทดลองใช้รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์เพื่อพัฒนาการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษา
ปีที่ 1 พบว่า 1) สถานศึกษาก่อนทดลองใช้รูปแบบมีความพร้อมระดับปานกลาง 2) การนำกลยุทธ์สู่การปฏิบัติของสถานศึกษา มีผลการดำเนินงานบรรลุเป้าหมาย ดังนี้ (1) การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านและการเขียนได้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 อยู่ในระดับเพิ่มขึ้น (2) การพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาและ ครูผู้สอนในการพัฒนาการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 อยู่ในระดับเพิ่มขึ้น (3) ความพึงพอใจต่อระบบบริหารจัดการเพื่อพัฒนาการอ่านและ การเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ของผู้เกี่ยวข้องอยู่ในระดับมากขึ้นไป และ (4) ผู้ปกครองนักเรียนและภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วมในการพัฒนาการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เพิ่มขึ้น และ 3) การนิเทศ กำกับ และติดตามของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 พบว่า สถานศึกษากลุ่มทดลองสามารถดำเนินการตามกระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์ได้ในระดับมากขึ้นไป
4. ผลการประเมินรูปแบบและปรับปรุงรูปแบบ พบว่า (ร่าง) รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์เพื่อพัฒนาการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 มาตรฐานโดยรวม รายด้าน ประกอบด้วย ด้านความแหมาะสม ด้านความเป็นไปได้ ด้านความเป็นประโยชน์ และด้านความถูกต้อง และรายข้อ อยู่ในระดับมากที่สุดทุกรายการ ได้นำข้อแสนอแนะและความคิดเห็นไปปรับปรุงได้รูปแบบที่สมบูรณ์ และขยายผลต่อสถานศึกษาทุกแห่งในสังกัดรวมทั้งผู้สนใจต่อไป
คำสำคัญ รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์, การพัฒนาการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1