รายละเอียดเอกสารการนำเสนอผลงานนวัตกรรม
1. ความสำคัญของนวัตกรรมที่นำเสนอ
1.1 ความเป็นมาและสภาพของปัญหา
ปัจจุบันสังคมไทยอยู่ภายใต้บริบทของเศรษฐกิจฐานบริโภคและกระแสบริโภคนิยมที่รุนแรง เด็กและเยาวชนเข้าถึงสื่อออนไลน์ เกม และโฆษณาเชิงพาณิชย์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดรูปแบบการใช้จ่ายที่เน้น อยากได้อยากมี มากกว่าการวางแผนใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล วินัยทางการเงินและพฤติกรรมการออมจึงจำเป็นต่อพลเมืองในศตวรรษที่ 21 ที่ต้องได้รับการปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก งานศึกษาทั้งในระดับนานาชาติและระดับประเทศเห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมความรู้ทางการเงินและการสร้างค่านิยมทางการเงินรูปแบบใหม่ (Financial Literacy : FinLit) ให้กับนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว โดยร่วมกันขับเคลื่อนและผลักดันให้อยู่ในระบบการศึกษาไทย ซึ่งจะส่งผลให้เด็กไทยมีความรู้ ทักษะ และทัศนคติทางการเงินที่ดี สร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ รวมถึงป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้ อันจะนำไปสู่ความเป็นอยู่ทางการเงินที่ดี (financial well-being) ของคนไทยอย่างยั่งยืน โดยผลการประเมิน PISA 2022 ยังคงพบจุดอ่อนของผู้เรียนจำนวนมาก ในด้านความรู้ทางการเงิน ระบุว่ามีนักเรียนที่ยังขาดทักษะพื้นฐานด้านการเงิน และมีความเหลื่อมล้ำตามฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการจัดการเรียนรู้ด้านการเงินอย่างทั่วถึง และเป็นระบบมากขึ้นในสถานศึกษา
ในบริบทของประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ติดตามทักษะทางการเงินของประชาชนอย่างต่อเนื่อง พบว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยยังมีทักษะทางการเงินอยู่ในระดับปานกลาง จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้สามารถวางแผนการเงินและการออมอย่างเหมาะสม อีกทั้งยังได้กำหนดทิศทางยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน โดยเน้นให้ วินัยการออม เป็นฐานสำคัญของการบริหารการเงินส่วนบุคคลในทุกช่วงวัย นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานทางการศึกษายังร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการผลักดันแนวทางสร้างวินัยทางการเงินในโรงเรียน สะท้อนให้เห็นว่า การปลูกฝังพฤติกรรมการออมในเด็กนักเรียนมิใช่เพียงกิจกรรมเสริม แต่เป็นภารกิจเชิงนโยบายที่มีความสำคัญในระดับประเทศ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง) กำหนดเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาผู้เรียนให้เป็น คนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ โดยเน้นสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ทั้งด้านการคิด การแก้ปัญหา การใช้ทักษะชีวิต และการอยู่ร่วมกันในสังคม การปลูกฝังนิสัยการออมและความรับผิดชอบต่อการใช้จ่ายจึงสอดคล้องโดยตรงกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตร เพราะเป็นการสร้างทักษะชีวิตและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เช่น ความพอเพียง ความมีวินัย ความรับผิดชอบ และการรู้จักวางแผนเพื่ออนาคต เอกสารแนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางการเงินก็เห็นความสำคัญต่อการจัดการเรียนรู้ด้านการเงินควรถูกบูรณาการในรายวิชาต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับบริบทของผู้เรียน
จากการพิจารณาสภาพปัญหาด้านพฤติกรรมทางการเงินของผู้เรียนในระดับประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดยาง (เย็นประชาสรรค์) พบว่า นักเรียนยังขาดทักษะสำคัญในการบริหารจัดการเงิน ไม่สามารถวางแผนการใช้จ่ายอย่างเหมาะสม และไม่เกิดวินัยการออมอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ การจัดการเรียนรู้ยังขาดกระบวนการเชิงรุกที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกวางแผน ลงมือปฏิบัติ ตรวจสอบผล และการปรับปรุงพฤติกรรม ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการปลูกฝังคุณลักษณะและสมรรถนะตามตัวชี้วัดของหลักสูตร ส่งผลให้ผู้เรียนไม่สามารถพัฒนาความรู้และทักษะทางการออมให้เป็นพฤติกรรมถาวรได้อย่างแท้จริง
ดังนั้น การพัฒนานวัตกรรมดังกล่าวจึงมีเหตุผลความจำเป็นอย่างยิ่งในฐานะ เครื่องมือเชิงกระบวนการ ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาอย่างตรงจุด โดยใช้กระบวนการ SAVE เชื่อมโยงกับวงจร PDCA ให้ผู้เรียนได้ฝึกตั้งเป้าหมายและแนวทางการออม (Set Goal) ลงมือปฏิบัติจริงตามแผนการออม (Apply Plan) ตรวจสอบและสะท้อนผลการออม (Verify Result) ประเมิน สรุปผล และปรับปรุงแนวทางการออม (Evaluate) จนเกิดเป็นนิสัยการออมที่ยั่งยืน สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง แนวทางความฉลาดรู้ทางการเงิน และเป้าหมายของหลักสูตรแกนกลางในการสร้าง คนดี มีปัญญา และมีทักษะชีวิตที่มั่นคงทางการเงินในอนาคต
1.2 แนวคิดหลักการสำคัญ
การพัฒนานวัตกรรมด้านการออมเงินสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษามีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน เนื่องจากนักเรียนจำนวนมากยังขาดวินัยด้านการใช้เงิน ไม่เห็นคุณค่าเงิน และไม่สามารถวางแผนรายรับ-รายจ่ายได้อย่างเหมาะสม ขณะเดียวกัน สถานศึกษาและชุมชนมีความจำเป็นในการเสริมสร้างทักษะชีวิตด้านการบริหารจัดการทางการเงินให้แก่ผู้เรียน ซึ่งเป็นทักษะสำคัญแห่งศตวรรษที่ 21 ดังนั้น การจัดทำและพัฒนานวัตกรรมการออมที่เป็นระบบ มีขั้นตอนชัดเจน และสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (2550) ได้กำหนดแนวทางการใช้เงินให้ถูกต้อง คือ การใช้เงินอย่างประหยัด ไม่ใช้สิ่งของที่ไม่จำเป็น หรือไม่มีประโยชน์ มีการบันทึกรายรับ-รายจ่ายทุกรายการ อย่างชัดเจน เพื่อให้รู้ว่าในหนึ่งวัน หรือเดือนหนึ่ง ใช้จ่ายอะไรไปบ้าง และสามารถเก็บออมเงินได้หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของการวางแผนการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องเหมาะสม
นวัตกรรมนี้ไม่เพียงเน้นพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมผ่านการสร้างวินัยการออมให้เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันของผู้เรียน แต่เป็นส่วนช่วยกำหนดพฤติกรรมตั้งแต่เริ่มวางแผน ลงมือทำ ตรวจสอบผล และประเมินตนเองอย่างเป็นระบบ ทำให้ผู้เรียนเกิดความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ต่อตนเอง และเห็นคุณค่าของเงินที่ออมไว้ กิจกรรมทั้งหมดเชื่อมโยงกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างความพอประมาณและความตระหนักในการใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า ส่งผลให้ผู้เรียนพัฒนานิสัยที่ดีทางการเงิน มีความมีระเบียบแบบแผน และเติบโตเป็นคนดีมีคุณธรรมอย่างยั่งยืน
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวคิดสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำรงชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน ประกอบด้วยหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกัน โดยมีเงื่อนไข 2 ประการ คือ ความรู้ และ คุณธรรม แนวคิดนี้ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับการออมเงินเป็นเห็นคุณค่า ซึ่งสะท้อนการใช้ชีวิตอย่างพอประมาณ การวางแผนอย่างมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินตั้งแต่วัยเด็ก
แนวคิดหลักของนวัตกรรมนี้ตั้งอยู่บนฐานของทฤษฎีที่เชื่อถือได้ ได้แก่ ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ ที่ชี้ว่าผู้เรียนวัยประถมเหมาะกับการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงและสถานการณ์จริง, แนวคิด Learning by Doing ของจอห์น ดิวอี้ ที่เน้นการเรียนรู้จากการลงมือทำ เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง และ ทฤษฎีพฤติกรรมศาสตร์ ที่สนับสนุนว่าพฤติกรรมใหม่จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีการฝึกปฏิบัติซ้ำอย่างเป็นระบบ รวมทั้งมีการสะท้อนผลและปรับปรุงตนเองอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ นวัตกรรมยังยึดโยงกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเน้นความพอประมาณ มีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดี ทำให้กิจกรรมการออมไม่เพียงเป็นการเก็บเงิน แต่เป็นการสร้างความพอเพียงจากภายในผู้เรียน แนวคิดเหล่านี้ถูกนำมาประกอบเป็นฐานของการกำหนดจุดประสงค์ กิจกรรม และตัวชี้วัด ทำให้ทุกขั้นตอนมีความสอดคล้องและสมเหตุสมผลทั้งทางวิชาการและทางปฏิบัติ
ข้อมูลและแนวคิดทั้งหมดจึงเป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การออกแบบนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ โดยประยุกต์ใช้กระบวนการ PDCA ของ Dr. Edwards W. Deming ซึ่งประกอบด้วย PlanDoCheckAct เพื่อกำหนดแผนการดำเนินงาน ปฏิบัติจริง ตรวจสอบผล และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง อันนำไปสู่การสร้างนิสัยการออมอย่างมีระบบและยั่งยืนในตัวผู้เรียน
ดังนั้น กิจกรรม ออมเป็น เห็นคุณค่า พร้อมทั้งการจดบันทึกรายรับ-รายจ่าย จึงเป็นนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียน สถานศึกษา และชุมชนอย่างแท้จริง เนื่องจากช่วยแก้ปัญหาการขาดวินัยทางการเงิน และเสริมสร้างทักษะชีวิตพื้นฐานที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน นวัตกรรมนี้ยังสอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาของโรงเรียนวัดยาง (เย็นประชาสรรค์) ที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้เรียนอย่างยั่งยืน โดยเน้นสร้างนิสัยการออม ความรับผิดชอบต่อตนเอง และการเห็นคุณค่าของทรัพยากรทางการเงินตั้งแต่ระดับประถมศึกษา อันจะนำไปสู่การเป็นพลเมืองที่มีวินัย มีคุณธรรม และพร้อมดำรงชีวิตในโลกยุคใหม่ได้อย่างมั่นคง มีคุณภาพ ทั้งต่อสังคม ครอบครัว และชุมชน
2. จุดประสงค์และเป้าหมายของผลงานนวัตกรรม
2.1 จุดประสงค์
2.1.1 เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการออมเงินอย่างถูกต้อง เห็นคุณค่าและประโยชน์ของการออมต่อชีวิตในอนาคต
2.1.2 เพื่อให้นักเรียนสามารถวางเป้าหมายการออม วางแผนรายรับ-รายจ่าย และจัดการเงินของตนเองตามลำดับขั้นตอน
2.1.3 เพื่อให้นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการออมและการใช้เงินอย่างพอประมาณ มีวินัย ประหยัด มีความรับผิดชอบ และสร้างพฤติกรรมนิสัยรักการออม
2.2 เป้าหมาย
2.2.1 เป้าหมายเชิงปริมาณ
1) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดยาง (เย็นประชาสรรค์) ร้อยละ 100 เข้าร่วมกิจกรรมการออมเงินอย่างต่อเนื่อง
2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดยาง (เย็นประชาสรรค์) ร้อยละ 80 มีสมุดบันทึกรายรับ-รายจ่ายครบถ้วนถูกต้อง และสามารถสรุปผลการออมของตนเองในรอบสัปดาห์หรือรอบเดือนได้อย่างเป็นระบบ
2.2.2 เป้าหมายเชิงคุณภาพ
1) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดยาง (เย็นประชาสรรค์) จำนวน 10 คน มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการออมเงิน เห็นประโยชน์ และผลลัพธ์ของการออม
2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดยาง (เย็นประชาสรรค์) จำนวน 10 คน มีทัศนคติที่ดีต่อการใช้เงินอย่างพอประมาณ มีวินัย ประหยัด มีความรับผิดชอบ เกิดความภาคภูมิใจจากผลลัพธ์การออมของตนเอง และมีการสรุปผลการออมให้แก่ครู นักเรียน และผู้ปกครองอย่างน้อย 1 ครั้งต่อภาคเรียน