การพัฒนาการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น เรื่อง อาหารกับการเจริญเติบโตของมนุษย์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้หนังสือประกอบการเรียน
นายสมพร หมั่นบ้านต้อน ตำแหน่ง ครูชำนาญการพิเศษ
โรงเรียนเทศบาลบ้านไผ่ กองการศึกษา เทศบาลเมืองบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น
บทคัดย่อ
การวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ
การวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) หาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบ
วัฏจักร 7 ขั้น (2) หาดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น (3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ (4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น เรื่อง อาหารกับการเจริญเติบโตของมนุษย์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้หนังสือประกอบการเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนโรงเรียนเทศบาล
บ้านไผ่ กองการศึกษาเทศบาลเมืองบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 31 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น จำนวน
10 แผน ใช้จัดกิจกรรม 20 ชั่วโมง หนังสือประกอบการเรียน 10 เล่ม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 40 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจ 20 ข้อ สถิติสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าประสิทธิภาพ ค่าดัชนีประสิทธิผล และทดสอบค่า t (แบบกลุ่มไม่อิสระ) ผลการศึกษาปรากฏ ดังนี้
1. ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น เรื่อง อาหารกับ
การเจริญเติบโตของมนุษย์ มีค่าเท่ากับ 85.76/84.27 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80
2. ดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น เรื่อง อาหารกับ
การเจริญเติบโตของมนุษย์ มีค่าเท่ากับ 0.7400 แสดงว่า นักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนรู้
เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 74.00 สูงกว่าเกณฑ์ 70 หรืออยู่ในระดับดี
3. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น เรื่อง อาหารกับการเจริญเติบโตของมนุษย์ มีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบวัฎจักร 5 ขั้น โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ชอบขั้นสำรวจที่มีการวางแผน ลงมือปฏิบัติ และศึกษา
แหล่งอื่นๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลเพียงพอที่จะใช้ในขั้นต่อไป รองลงมา คือ ชอบหนังสือประกอบการเรียน
ที่ส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองที่ดีและเรียนตามเพื่อนผู้อื่นได้ทัน
คำสำคัญ : รูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น, หนังสือประกอบการเรียน
_____________________________________________________________________________
บทนำ
การพัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของไทยโดยเฉลี่ยยังอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะการให้ความสำคัญต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ และสร้างระบบความคิดการทำงานอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ส่งผลให้เกิดสภาพการขาดแคลน บุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเมื่อพิจารณาคุณภาพของ
การจัดการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพบว่า ความสามารถในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษายังอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องปรับปรุง จากผลการประเมินคุณภาพการศึกษาของ กระทรวงศึกษาธิการ และสมรรถนะของนักเรียนในด้านความรู้ความคิด ยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำทุกด้าน โดยเฉพาะกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
มีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าครึ่ง โดยกิจกรรมการเรียนการสอนแบบสืบเสาะโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้แบบ 7 ขั้น หรือ 7E คือ ขั้นที่ 1 การตรวจสอบความรู้เดิม (E1 : Elicitation Phase) ขั้นที่ 2 การเร้าความสนใจ (E2 : Engagement Phase) ขั้นที่ 3 การสำรวจค้นหา (E3 : Exploration Phase) ขั้นที่ 4 การอธิบาย (E4 : Explanation Phase) ขั้นที่ 5 การขยายความรู้ (E5 : Elaboration Phase) ขั้นที่ 6 การประเมินผล (E6 : Evaluation Phase) และขั้นที่ 7 การนำความรู้ไปใช้ (E7 : Extension Phase) เป็นรูปแบบการสอนที่สามารถทำให้นักเรียนได้เรียนรู้เพื่อนำผลการเรียนรู้ไปใช้ในชีวิตและการประกอบอาชีพ
เมื่อนักเรียนได้เรียนรู้ได้รับการกระตุ้นให้เกิดความตื่นเต้น ท้าทายกับการเผชิญสถานการณ์หรือปัญหามีการร่วมกันคิด ลงมือปฏิบัติจริง ก็จะเข้าใจและเห็นความเชื่อมโยงของวิทยาศาสตร์กับวิชาอื่น
และชีวิต ทำให้สามารถอธิบาย ทำนาย คาดการณ์สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีเหตุมีผล (อาภาพร สิงหราช.
2557 : 11-12) และการสอนแบบสืบเสาะตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น ถือเป็นกิจกรรมส่งเสริมให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในมโนมติต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ (รุ่ง แก้วแดง. 2558 : 45) นักเรียนมีความสนใจมุ่งมั่นที่จะสังเกต สำรวจตรวจสอบ สืบค้นความรู้ที่มีคุณค่าเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
มีการจัดให้สอดคล้องกับสภาพจริงในชีวิต โดยใช้แหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายในท้องถิ่น และได้คำนึงถึงนักเรียนที่มีวิธีการเรียนรู้ มีความสนใจ ความถนัดที่แตกต่างกัน การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ความสำคัญของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนสามารถเชื่อมโยงองค์ความรู้หลาย ๆ ด้าน
เป็นความรู้แบบองค์รวม เพื่อนำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ และพัฒนาคุณภาพชีวิต
มีความสามารถในการจัดการ และร่วมกันดูแลรักษาโลกธรรมชาติอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ หนังสือประกอบการเรียนสามารถสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียนได้เรียนรู้ตามเอกัตภาพของตน เช่น ความสนใจ สติปัญญา วุฒิภาวะ นักเรียนสามารถศึกษาหนังสือหรือตำราในเวลาใด เมื่อไรก็ได้ตามความพอใจของนักเรียนเอง นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง นักเรียนได้เรียนรู้เป็นขั้นตอนทีละน้อย และได้ทราบผลการเรียนรู้ของตนทุกขั้นตอนจึงเกิดแรงเสริมที่นำมาใช้กับหนังสือประกอบการเรียน
วัตถุประสงค์การวิจัย
1. เพื่อหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น เรื่อง อาหารกับการเจริญเติบโตของมนุษย์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้หนังสือประกอบการเรียน ตามเกณฑ์ 80/80
2. เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น เรื่อง อาหารกับการเจริญเติบโตของมนุษย์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
โดยใช้หนังสือประกอบการเรียน ตามเกณฑ์ 70 หรือระดับดีขึ้นไป
3. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น เรื่อง อาหารกับการเจริญเติบโตของมนุษย์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้หนังสือประกอบการเรียน
4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน
ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร
7 ขั้น เรื่อง อาหารกับการเจริญเติบโตของมนุษย์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้หนังสือประกอบการเรียน
วิธีดำเนินการวิจัย
1. ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเทศบาลบ้านไผ่ ปีการศึกษา 2561 จำนวน 60 คน จาก 2 ห้องเรียน
2. กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนเทศบาลบ้านไผ่ ปีการศึกษา 2561 จำนวน 31 คน โดยวิธีการสุ่มด้วยวิธีแบบกลุ่ม
3. เครื่องมือวิจัย
3.1 แผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น จำนวน 10 แผน เวลา 20 ชั่วโมง
3.2 หนังสือประกอบการเรียน จำนวน
10 เล่ม
3.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทาง
การเรียน จำนวน 40 ข้อ
3.4 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน จำนวน 20 ข้อ
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล
4.1 ดำเนินการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน
4.2 ดำเนินการทดลองสอนโดยผู้วิจัยเป็นผู้ดำเนินการตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น
โดยใช้หนังสือประกอบการเรียน เวลา
20 ชั่วโมง
4.3 ดำเนินการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและสอบถามความพึงพอใจ
หลังเรียน
4.4 นำคะแนนการทดสอบและการสอบถาม มาวิเคราะห์ด้วยวิธีทางสถิติ
5. การวิเคราะห์ข้อมูล
5.1 หาประสิทธิภาพของการพัฒนา
การเรียนรู้
5.2 หาค่าดัชนีประสิทธิผลของการพัฒนา
การเรียนรู้
5.3 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน
5.4 ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน
ผลการวิจัย
จากการพัฒนาการเรียนรู้ตามรูปแบบ
วัฏจักร 7 ขั้น เรื่อง อาหารกับการเจริญ
เติบโตของมนุษย์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้หนังสือประกอบการเรียน สรุปผลการวิจัย ดังนี้
1. ประสิทธิภาพของการพัฒนาการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น โดยใช้หนังสือประกอบการเรียน มีค่าเท่ากับ 85.76/84.27 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80
2. ดัชนีประสิทธิภาพของการพัฒนา
การเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น โดยใช้หนังสือประกอบการเรียน มีค่าเท่ากับ 0.7400 แสดงว่า นักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 74.00 สูงกว่าเกณฑ์ 70 และมีความก้าวหน้าอยู่ในระดับดี
3. นักเรียนที่ได้รับการพัฒนาการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น โดยใช้
หนังสือประกอบการเรียน มีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ระดับ .01
4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการพัฒนา
การเรียนรู้โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
สรุปและอภิปรายผล
ทั้งนี้เนื่องอาจจะเนื่องมาจากวิธีการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น มีขั้นตอนกิจกรรมที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญทั้งกระบวนการกลุ่มและรายบุคคลตามรูปแบบสืบเสาะหาความรู้ที่เป็นกระบวนการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละเรื่อง ดังนี้ (1) ขั้นที่ 1 การตรวจสอบความรู้เดิม (E1 : Elicitation Phase) ด้วยการใช้คำถามของครู เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนได้แสดงความรู้เดิม คำถามเป็นประเด็นที่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตามสภาพสังคมท้องถิ่น สถานการณ์ข่าว เกม หรือความรู้ที่เคยเรียนมาแล้ว เพื่อให้นักเรียนสามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้ไปยังประสบการณ์
ที่ตนมี (2) ขั้นที่ 2 การเร้าความสนใจ (E2 : Engagement Phase) โดยการนำเข้าสู่เนื้อหาในบทเรียน โดยใช้สื่อและวิธีการต่าง ๆ เช่น ภาพ การสาธิต เป็นต้น ใช้คำถามให้นักเรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น และกำหนดประเด็นที่จะศึกษาแก่นักเรียน ได้ร่วมอภิปรายภายในกลุ่มเชื่อมโยงกับความรู้เดิม หรือประสบการณ์เดิมที่นักเรียนมี หรือเพิ่งเรียนมารู้มาแล้ว เพื่อนำไปสู่การสำรวจตรวจสอบในขั้นต่อไป
(3) ขั้นที่ 3 การสำรวจค้นหา (E3 : Exploration Phase) ด้วยการให้นักเรียนทำความเข้าใจในประเด็นหรือตั้งคำถามที่สนใจจะศึกษาอย่างถ่องแท้ แล้ววางแผนลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ทำการทดลอง โดยครูทำหน้าที่กระตุ้น
ให้นักเรียนตรวจสอบปัญหา ดำเนินการสำรวจตรวจสอบ และรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง
(4) ขั้นที่ 4 การอธิบาย (E4 : Explanation Phase) ด้วยการจัดกิจรรมที่นักเรียนได้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม นำข้อมูลเหล่านั้นมาอภิปราย
ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเห็นความสัมพันธ์ของข้อมูล โดยอ้างอิงประจักษ์พยานอย่างชัดเจน ช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และสร้างความรู้ได้ (5) ขั้นที่ 5 การขยายความรู้ (E5 : Elaboration Phase) ด้วยการนำความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิม โดยขยายกรอบแนวคิดเดิมของนักเรียน ต่อเติมให้สอดคล้องกับประสบการณ์เดิมและที่ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือนำข้อสรุปที่ได้ไปใช้อธิบายสถานการณ์หรือเหตุการณ์อื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้เชื่อมโยงเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ และทำให้เกิดความรู้กว้างขวางขึ้น ส่งเสริมให้นักเรียนตั้งประเด็น เพื่ออภิปราย และแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ขั้นที่ 6 การประเมินผล (E6 : Evaluation Phase) ด้วยการจัดกิจกรรมที่ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจของตนเอง ว่านักเรียนรู้อะไรบ้างและมากน้อยเพียงใด ส่งเสริมให้นักเรียนนำความรู้ใหม่ที่ได้ไปเชื่อมโยงกับ
ความรู้เดิม นำความรู้ที่ได้มาประมวล ปรับประยุกต์สร้างผังมโนทัศน์ และทำแบบทดสอบ นอกจากนี้ครูได้เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ตรวจสอบซึ่งกันและกัน และ (7) ขั้นที่ 7
การนำความรู้ไปใช้ (E7 : Extension Phase) ด้วยการจัดกิจกรรมที่สร้างสถานการณ์ให้นักเรียนนำความรู้ที่ได้เรียนมาไปปรับประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม และเกิดประโยชน์
ต่อชีวิตประจำวัน โดยกระตุ้นให้นักเรียนนำความรู้ไปสร้างความรู้ใหม่ ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้ได้ จึงทำให้นักเรียนประสบผลสำเร็จด้านการเรียนรู้และทักษะ
รวมทั้งวิธีการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น มุ่งให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และบรรลุผล
ตามมาตรฐานการเรียนรู้และผลการเรียนรู้
ที่ผู้สอนได้กำหนดให้นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแตกต่างกันทำงานร่วมกันเป็นทีม กลุ่มละ 5-6 คน ทำการทดสอบความรู้และฝึกด้วยหนังสือประกอบการเรียนภายในกลุ่ม จึงเกิดการแข่งขันและกระตุ้นการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพื่อความสำเร็จของกลุ่ม คือ ได้รับรางวัล คำชมจากเพื่อนและครูผู้สอนในแต่ละเรื่องหรือการประกาศคะแนนให้ทราบพร้อมการยกย่องชมเชยทั้งรายกลุ่มและรายบุคคล ประกอบกับการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ ได้เน้นให้นักเรียนได้ร่วมมือและช่วยเหลือกันในการเรียนรู้จากใบความรู้ที่เป็นความรู้เชิงทฤษฎีและการทำหนังสือประกอบ
การเรียน นักเรียนที่มีความรู้และความสามารถแตกต่างกัน การทำกิจกรรมกลุ่ม จึงเป็นการร่วมกันอย่างมีโครงสร้างที่ชัดเจน มีการทำงานร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิด มีการช่วยเหลือพึงพาอาศัยซึ่งกันและกัน มีความรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งในส่วนตนและส่วนรวมเพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จตามจุดประสงค์การเรียนรู้ จึงถือได้ว่า การเรียนรู้ด้วยตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น ดังกล่าว ทำให้นักเรียนเป็นคนมีความเข้าใจ
และมีทักษะกระบวนการเรียนรู้ด้วยกลุ่มและรายบุคคลมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละเรื่อง
ข้อเสนอแนะ
1. การจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร
7 ขั้นครูผู้สอนควรเตรียมสื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ของผู้เรียน
2. การจัดการเรียนการสอนครูควรกำหนดบทบาทให้นักเรียนได้ร่วมวางแผนและออกแบบการวิจัยด้วยตนเองแต่ละเนื้อหาร่วมกับครูผู้สอน เพิ่มกิจกรรมให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ทั้งของจริง สื่อเอกสาร และอินเตอร์เน็ต และนักเรียนมีส่วนร่วมประเมินคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของสมาชิกในกลุ่มร่วมกับครูด้วย
3. การเรียนรู้ด้วยการพัฒนาการเรียนรู้
ตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น ครูผู้สอนควรให้คำแนะนำ ชี้แจงแนวทางปฏิบัติแก่นักเรียนได้ศึกษาความรู้แต่ละเนื้อหาย่อย เรียงตามลำดับ ในการพัฒนาการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร
7 ขั้น เพื่อให้มีพื้นฐานการเรียนแต่ละขั้นตอนและในเนื้อหาเรื่องต่อไปเรียงตามลำดับ
4. การสร้างการพัฒนาการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร 7 ขั้น ผู้สร้างควรมีการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอน การปรึกษากับนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอน การทดลองใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไข ให้ได้การพัฒนาการเรียนรู้ตามรูปแบบวัฏจักร
7 ขั้น ที่มีคุณภาพ แล้วจึงนำมาใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้
5. ครูผู้สอนควรออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง โดยครู
เป็นผู้ให้คำแนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิด
เอกสารอ้างอิง
จินตนา ใบกาซูยี. (2557). การสร้างสื่อการเรียนการสอน. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ :
สุวีริยาสาส์น.
ทิศนา แขมมณี. (2559). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
เปรื่อง กุมุท. (2557). การผลิตสื่อและนวัตกรรมสำหรับครูยุคใหม่. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : กราฟิคอาร์ต.
รุ่งทิวา จักร์กร. (2558). หลักการสอนทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : รุ่งเรืองธรรม.