1. ชื่องานที่ดำเนินการฯ
การแก้ไขปัญหาการขาดทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการไทเทรต ด้วย ชุดกิจกรรมเรื่องการไทเทรต วิชาเคมี GSMP รหัสวิชา ว30230 ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2
2. ที่มาความสำคัญ
วิชาเคมีเป็นวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับสสาร ความสามารถของสสาร การแปรรูปของสสาร และการปฏิสัมพันธ์กับพลังงานและสสารด้วยกันเอง เคมีปัจจุบันได้ระบุว่าโครงสร้างของสสารในระดับอะตอมนั้นถือเป็นตัวกำหนดธรรมชาติของสสารทุกชนิด เป็นวิชาที่มีเนื้อหามาก และละเอียด สามารถจัดรูปแบบการเรียนการสอนได้หลายรูปแบบ แต่ปัญหาของการเรียนวิชาเคมีของนักเรียนคือ เนื้อหาที่ต้องใช้จินตนาการในการเรียนและเข้าใจในพฤติกรรมของธาตุ และสารประกอบ การเกิดปฏิกิริยาระหว่างกรดและเบส การไทเทรต ที่มีเนื้อหาจำนวนมากและยาก เป็นเนื้อหาที่ต้องใช้ระยะเวลานานในการทำความเข้าใจกับนักเรียน และจากผลการทดสอบก่อนเรียน (pre-test) พบว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 ร้อยละ 72.41 ไม่สามารถอธิบายเกี่ยวกับการไทเทรตและไม่สามารถแก้โจทย์ปัญหาการไทเทรตได้ นอกจากนี้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19 ทำให้นักเรียนต้องเรียน online ไม่ได้มาเจอครูผู้สอนที่โรงเรียนอาจทำให้เวลาที่ใช้ในการเรียนเนื้อหาในส่วนนี้ที่ต้องอาศัยการอธิบายอย่างละเอียด ต้องใช้เวลามากในการเรียน และสื่อการสอนไม่น่าสนใจ จึงส่งผลให้นักเรียนส่วนใหญ่ขาดความกระตือรือร้นในการเรียน ซึ่งส่งผลให้นักเรียนจำนวนหนึ่งไม่เข้าเข้าใจเนื้อหาอย่างถ่องแท้ เพื่อสร้างกระบวนการเรียนการสอนที่น่าสนใจ ครูจึงได้สร้างชุดกิจกรรมเรื่องการไทเทรตเพื่อพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการไทเทรต ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่จะช่วยให้ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาเคมีให้บรรลุวัตถุประสงค์
3. วัตถุประสงค์ของงานที่ดำเนินการฯ
1. เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการไทเทรต
2. เพื่อค้นหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมเรื่องการไทเทรต
3. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การไทเทรต
4. กลุ่มประชากร/กลุ่มเป้าหมายที่ดำเนินการฯ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 โรงเรียนจอมทอง จำนวน 29 คน
5. วิธีดำเนินการ
1. สร้างและพัฒนาหลักสูตรรายวิชาโดยวิเคราะห์หลักสูตร มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดหรือผลการเรียนรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) และหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนจอมทอง เพื่อนำไปจัดทำรายวิชาเคมี GSMP ว30230 และจัดทำหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง กรด-เบส
2. ออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การไทเทรต
- นักเรียนและครูสนทนาทบทวนเรื่องช่วงการเปลี่ยนสีของอินดิเคเตอร์ วิธีการตรวจสอบกรดและเบสทำปฏิกิริยากันพอดี
- นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาเรื่องการไทเทรตกรด-เบสในชุดกิจกรรมเรื่องการไทเทรต ออกแบบและทำการทดลองการไทเทกรดแก่-เบสโดยใช้อินดิเคเตอร์ และเขียนรายงานผลการทดลอง
- นักเรียนออกมานำเสนอผลการทดลองของแต่ละกลุ่มโดยใช้วิธีการจับฉลากการนำเสนอ
- นักเรียนและครูร่วมกันลงข้อสรุปการทำกิจกรรมการทดลองการไทเทกรดแก่-เบสโดยใช้อินดิเคเตอร์ และหลักการไทเทรต
3. สร้างสื่อ นวัตกรรม เทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ คือ ชุดกิจกรรมเรื่องการไทเทรต
4. ประเมินผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนเรื่องการไทเทรต (Pre-test)
5. ดำเนินกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ตามแผนที่วางไว้ โดยใช้ชุดกิจกรรมเรื่องการไทเทรตประกอบการจัดกาเรียนรู้
6. ประเมินผลสัมฤทธิ์หลังเรียนเรื่องการไทเทรต (Post-test)
7. ประเมินความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ในเรื่องการไทเทรต
6. ผลการดำเนินการ
ตอนที่ 1 ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการไทเทรต
ตาราง 3 การหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การไทเทรต
จำนวนนักเรียน แบบฝึกหัด ทดสอบหลังเรียน ประสิทธิภาพ
E1/E2
คะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ย คะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ย
29 10.00 8.23 10.00 8.86 82.28/88.57
จากตาราง การหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การไทเทรตสามารถนำมาวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุดการสอนที่สร้างขึ้นตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ได้ดังนี้
E1 หมายถึง ค่าประสิทธิภาพของพฤติกรรมที่เปลี่ยนในตัวนักเรียน คิดเป็นร้อยละ 82.28 ของคะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบฝึกหัดระหว่างเรียนในแต่ละชั่วโมง
E2 หมายถึง ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนการสอนจากชุดการสอน คิดเป็นร้อยละ 88.57 ของคะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบหลังเรียน
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การไทเทรต มีค่า E1/E2 เท่ากับ 82.28/88.57 แสดงว่าชุดการสอนยังมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 โดยมีค่า E1 และค่า E2 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้
ตอนที่ 2 ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของก่อนเรียนและหลังเรียน
ตาราง 4 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียน
การทดสอบ จำนวน (คน) คะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ย S.D. D t-test
ก่อนเรียน 29 10 3.97 1.26 4.89 17.09*
หลังเรียน 29 10 8.86 1.63
* p < 0.05
จากตาราง ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียน แสดงให้เห็นว่าผลการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ค่าสถิติที (t-test) พบว่า ค่า t เท่ากับ 17.09 คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอยู่ 4.89 คะแนน ซึ่งแตกต่างกันโดยมีนัยสำคัญที่ระดับ .05
ดังนั้นสรุปได้ว่าหลังจากนักเรียนเรียนโดยใช้ชุดการสอนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น นักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ข้อเสนอแนะ
ผู้วิจัยควรคำนึงถึงหลักสำคัญในการนำชุดกิจกรรมการเรียนรู้ไปใช้ ดังนี้
1. ความรู้พื้นฐานของผู้เรียน ควรเสริมความรู้พื้นฐานของนักเรียน เนื่องจากนักเรียนแต่ละคนมีพื้นฐานความรู้ไม่เท่ากัน ดังนั้นครูผู้สอนควรวัดพื้นฐานความรู้ของนักเรียนก่อนเริ่มวิจัย
2. เนื่องจากมีสื่อหลายชนิด ครูควรศึกษาและทำความเข้าใจนักเรียนการจัดเตรียมสภาพแวดล้อม วัสดุ อุปกรณ์ และสื่อการเรียนรู้ให้พร้อม และควรมีการฝึกการใช้งานให้แก่นักเรียนก่อนการจัดการเรียนรู้