ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3

บทคัดย่อ

เรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์

ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3

ชื่อผู้วิจัย นางสาวณัฐชานันท์ นิษฐ์ธีรวัต

ปีการศึกษา 2564

การวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ดังนี้ 3.1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 80 3.2) เปรียบเทียบทักษะการอ่านหลังเรียนของนักเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 803.3) เปรียบเทียบทักษะการเขียนหลังเรียนของนักเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 80 และ 4) เปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 80 4) เปรียบเทียบผลการประเมินการใช้

รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียนและทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 23 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ 1) แบบวิเคราะห์เอกสาร 2) แบบสัมภาษณ์ 3) แบบสอบถามความ

ต้องการของนักเรียน 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 5) แบบสอบถามความพึงพอใจ และ 6) แบบประเมินรับรองรูปแบบฯ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( x̄ ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติทดสอบของวิลค๊อกซัน (Wilcoxon Signed Rank Test for Related Samples) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)

ผลการวิจัย พบว่า

1 ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปรากฎผลดังนี้

1.1 ผลการศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตัวชี้วัด มาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย และเป้าหมายในการพัฒนานักเรียน พบว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ

1.2 ผลการสัมภาษณ์ครูวิชาการ และครูผู้สอนวิชาภาษาไทยเกี่ยวกับแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนและเป้าหมายในการพัฒนานักเรียน สรุปข้อมูลสอดคล้องกัน พบว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้ควรมีลักษณะที่อ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายไม่ซับซ้อนตั้งแต่เริ่มแรก และพัฒนาขึ้นจากแนวคิดทฤษฎีที่หลากหลาย โดยสรุปเป็นแนวคิดในการพัฒนารูปแบบการสอนที่สามารถสนองความต้องการของผู้เรียน โดยต้องมีการสอบถามความต้องการของผู้เรียนจะทำให้ทราบข้อมูลความต้องการที่แท้จริง เนื้อหาที่สอนควรเป็นเนื้อหาที่เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ทันสมัย กระตุ้นให้ผู้เรียนอยากรู้ อยากเรียน และผู้เรียนต้องสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในการดำเนินชีวิตประจำวัน

1.3 ผลการสอบถามความต้องการของนักเรียนเกี่ยวกับความต้องการและความสนใจเกี่ยวกับเนื้อหาวิชา พบว่า ความต้องความสนใจเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน

2. ผลการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ได้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วยกิจกรรม 6 ขั้นตอน (ERRPIR MODEL) ได้แก่ 1) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างประสบการณ์ (Experience) ขั้นที่ 2 ขั้นอ่าน (Reading Process) ขั้นที่ 3 ขั้นจับใจความ (Reading for main idea) ขั้นที่ 4 ขั้นประมวลความรู้ (Process Learning) ขั้นที่ 5 ขั้นสร้างจินตนาการจากความรู้ที่ได้รับ (Imagination and Creative Learning) ขั้นที่ 6 ขั้นฝึกซ้ำย้ำทบทวน (Review) และเมื่อนำไปหาประสิทธิภาพ (E1/E2) ได้ค่าประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 เท่ากับ 86.74/84.11 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80

3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีผลสรุปดังนี้

3.1 นักเรียนที่เรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 86.20 ซึ่งทำการเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ร้อยละ 80 พบว่า มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05

3.2 นักเรียนที่เรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีคะแนนทักษะการอ่านคิดเป็นร้อยละ 82.76 ซึ่งทำการเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ร้อยละ 80 พบว่า มีคะแนนทักษะการอ่าน สูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05

3.3 นักเรียนที่เรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีคะแนนทักษะการเขียนคิดเป็นร้อยละ 89.66 ซึ่งทำการเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ร้อยละ 80 พบว่ามีคะแนนทักษะการเขียน สูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05

3.4 นักเรียนที่เรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีคะแนนทักษะการคิดวิเคราะห์คิดเป็นร้อยละ 86.21 ซึ่งทำการเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ร้อยละ 80 พบว่า มีคะแนนทักษะการคิดวิเคราะห์ สูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05

4. ผลการประเมินและรับรองรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปรากฎผลดังนี้

4.1 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า คะแนนเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( x̄ =4.79, S.D.=0.06)

4.2 ผลการประเมินและรับรองรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยภาพรวมทั้งหมดมีคุณภาพความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ( x̄ =4.81, S.D.=0.36)

โพสต์โดย ครูอ๋อย : [26 ม.ค. 2566 เวลา 07:16 น.]
อ่าน [1767] ไอพี : 223.204.202.144
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 45,666 ครั้ง
อาชีพเสริมข้าราชการ ปลูกต้นอ่อนผักบุ้ง ขายช่วงวันหยุด สร้างรายได้งาม
อาชีพเสริมข้าราชการ ปลูกต้นอ่อนผักบุ้ง ขายช่วงวันหยุด สร้างรายได้งาม

เปิดอ่าน 39,668 ครั้ง
ทำไมหยดน้ำจึงกลิ้งบนใบบัวได้
ทำไมหยดน้ำจึงกลิ้งบนใบบัวได้

เปิดอ่าน 19,429 ครั้ง
เผยวิธีคิดแบบคนเก่ง
เผยวิธีคิดแบบคนเก่ง

เปิดอ่าน 16,801 ครั้ง
ตายเยอะแม้ป้องกันได้ มะเร็งปากมดลูก
ตายเยอะแม้ป้องกันได้ มะเร็งปากมดลูก

เปิดอ่าน 10,649 ครั้ง
เทคโนโลยีแห่งอนาคต ขับเคลื่อนสังคมโลกยุคใหม่!
เทคโนโลยีแห่งอนาคต ขับเคลื่อนสังคมโลกยุคใหม่!

เปิดอ่าน 17,762 ครั้ง
อาหารต้องเลี่ยง ภาชนะต้องห้าม อย่านำเข้าไมโครเวฟ
อาหารต้องเลี่ยง ภาชนะต้องห้าม อย่านำเข้าไมโครเวฟ

เปิดอ่าน 18,012 ครั้ง
แค่กินน้อย ๆ แต่ไม่ออกกำลัง แล้วน้ำหนักจะลดได้ไหมนะ?
แค่กินน้อย ๆ แต่ไม่ออกกำลัง แล้วน้ำหนักจะลดได้ไหมนะ?

เปิดอ่าน 13,923 ครั้ง
ปัญหาหน้าห้องใหญ่กว่านาย ... การศึกษาไทยสะดุด
ปัญหาหน้าห้องใหญ่กว่านาย ... การศึกษาไทยสะดุด

เปิดอ่าน 5,336 ครั้ง
โครงสร้างอะตอม
โครงสร้างอะตอม

เปิดอ่าน 22,638 ครั้ง
iPrice เจาะลึก! จริงหรือไม่? กรุงเทพฯ เป็นเมืองมีค่าครองชีพแพงที่สุดในภูมิภาค
iPrice เจาะลึก! จริงหรือไม่? กรุงเทพฯ เป็นเมืองมีค่าครองชีพแพงที่สุดในภูมิภาค

เปิดอ่าน 76,518 ครั้ง
หน้ามน-หน้ามล
หน้ามน-หน้ามล

เปิดอ่าน 8,326 ครั้ง
ปฏิรูปการศึกษา ?
ปฏิรูปการศึกษา ?

เปิดอ่าน 35,876 ครั้ง
ทำให้ถั่วฝักยาวมีฝักมาก
ทำให้ถั่วฝักยาวมีฝักมาก

เปิดอ่าน 18,050 ครั้ง
เราจะรู้อายุของโลกและสิ่งมีชีวิตต่างๆได้อย่างไร
เราจะรู้อายุของโลกและสิ่งมีชีวิตต่างๆได้อย่างไร

เปิดอ่าน 11,836 ครั้ง
หัวไชเท้าช่วยละลายเสมหะ
หัวไชเท้าช่วยละลายเสมหะ

เปิดอ่าน 13,059 ครั้ง
"มัลเบอร์รี่" ผลไม้สุดเทรนดี้ ประจำปี 2013
"มัลเบอร์รี่" ผลไม้สุดเทรนดี้ ประจำปี 2013
เปิดอ่าน 19,684 ครั้ง
ข้อกำหนดวินัย และการดำเนินการทางวินัย การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ข้อกำหนดวินัย และการดำเนินการทางวินัย การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
เปิดอ่าน 12,301 ครั้ง
ความเสียหายจากมหาวิทยาลัยไทยปิดเปิดเทอมตามอาเซียน
ความเสียหายจากมหาวิทยาลัยไทยปิดเปิดเทอมตามอาเซียน
เปิดอ่าน 1,438 ครั้ง
5 วิธีปกป้องตนเองไม่ตกเป็นเหยื่อบนโลกออนไลน์
5 วิธีปกป้องตนเองไม่ตกเป็นเหยื่อบนโลกออนไลน์
เปิดอ่าน 6,699 ครั้ง
เด็กไทยเรียนฟรี เมื่อไหร่?เป็นจริง
เด็กไทยเรียนฟรี เมื่อไหร่?เป็นจริง

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ