|
|
ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก สาระประวัติศาสตร์ โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ผู้วิจัย นางจุฬวดี ศรีโยธี
หน่วยงาน โรงเรียนสามัคคีบัวขาว อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3
ปีที่พิมพ์ 2563
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อออกแบบและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก สาระประวัติศาสตร์ โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 2) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก สาระประวัติศาสตร์ โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ 3) เพื่อประเมินผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก สาระประวัติศาสตร์ โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) โดยมีนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่กำลังเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนสามัคคีบัวขาว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3 ที่เรียนสาระประวัติศาสตร์ เป็นหน่วยวิเคราะห์ (Unit of Analysis) ดำเนินการวิจัย 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การวิจัย (Research : R1) : การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน (Analysis : A) ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนา (Development : D1) : การออกแบบและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ (Design and Development : D and D) ขั้นตอนที่ 3 การวิจัย (Research : R2) : การนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นไปใช้ ขั้นตอนที่ 4 การพัฒนา (Development : D2) : การประเมินผล (Evaluation : E) เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย ประกอบด้วย (1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก สาระประวัติศาสตร์ โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (2) แบบประเมินความสอดคล้องของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ (3) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ เรื่อง รัตนโกสินทร์ของเรา (4) แผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก โดยใช้ปัญหา (5) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (6) แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา และ (7) แบบสอบถามความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ ค่าทีแบบไม่อิสระ (t-test dependent) และการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1. รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก สาระประวัติศาสตร์ โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มี 7 องค์ประกอบหลัก 1) หลักการของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ 3) กระบวนการจัดการเรียนรู้ 4) สาระหลัก 5) ระบบสังคม 6) หลักการตอบสนอง 7) สิ่งสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ และ 8) เงื่อนไขการนำรูปแบบไปใช้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีกระบวนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 7 ขั้นตอนคือ 1) ขั้นเชื่อมโยงและระบุปัญหา 2) ขั้นทำความเข้าใจกับปัญหา 3) ขั้นกำหนดแนวทางแก้ปัญหา 4) ขั้นดำเนินการศึกษาค้นคว้า 5) ขั้นสังเคราะห์ความรู้ 6) ขั้นสรุปองค์ความรู้ และ 7) ขั้นนําเสนอและประเมินผลงาน ตรวจสอบความสอดคล้องของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้มีความสอดคล้องกัน (IOC = 0.89) และเมื่อนำไปหาประสิทธิภาพ (E1/E2) แบบกลุ่มใหญ่ (Filed Tryout) กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสามัคคีบัวขาว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 ที่เป็นเด็กเก่ง ปานกลาง และอ่อน จำนวน 24 คน โดยได้ค่าประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เท่ากับ 87.42/83.33 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ 80/80 ปรากฏว่า มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก สาระประวัติศาสตร์ โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถใน การแก้ปัญหาของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก สาระประวัติศาสตร์ โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยนักเรียนพึงพอใจต่อขั้นตอนการเรียนรู้ และชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ช่วยให้เกิดความกระตือรือร้นในการเรียนมากขึ้น และฝึกทักษะการคิดแก้ปัญหามากที่สุด รองลงมา คือ เนื้อหาสาระในชุดกิจกรรมการเรียนรู้มีประโยชน์
|
โพสต์โดย บืนมอ : [16 ก.ค. 2566 เวลา 19:12 น.] อ่าน [3123] ไอพี : 223.206.246.180
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก
|
|
|
|
|
|
|
โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2. ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป
3. สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น
7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป
** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**
|
|
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡ เปิดอ่าน 10,076 ครั้ง
| เปิดอ่าน 10,462 ครั้ง
| เปิดอ่าน 111,645 ครั้ง
| เปิดอ่าน 43,605 ครั้ง
| เปิดอ่าน 83,632 ครั้ง
| เปิดอ่าน 13,304 ครั้ง
| เปิดอ่าน 4,029 ครั้ง
| เปิดอ่าน 22,855 ครั้ง
| เปิดอ่าน 419,639 ครั้ง
| เปิดอ่าน 28,727 ครั้ง
| เปิดอ่าน 9,914 ครั้ง
| เปิดอ่าน 40,854 ครั้ง
| เปิดอ่าน 10,627 ครั้ง
| เปิดอ่าน 21,520 ครั้ง
| เปิดอ่าน 8,769 ครั้ง
| |
|
เปิดอ่าน 34,906 ครั้ง
| เปิดอ่าน 9,149 ครั้ง
| เปิดอ่าน 11,016 ครั้ง
| เปิดอ่าน 11,618 ครั้ง
| เปิดอ่าน 62,801 ครั้ง
|
|
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด
|