ผู้วิจัย นางกฤติยา โพธิ์เสนา
ปีที่วิจัย 2566-2567
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็น และแนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 3) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 และ 4) เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 ตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้น การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ดำเนินการ 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาความต้องการจำเป็น และแนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของโรงเรียน ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การศึกษาองค์ประกอบของการบริหารแบบมีส่วนร่วมและปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียน โดยการวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2) การศึกษาความต้องการจำเป็นโดยสอบถามความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 372 คน แล้ววิเคราะห์ด้วย PNI Modified และ 3) การหาแนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมโดยการประชุมระดมสมองผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 15 คน ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ร่างรูปแบบจากการทบทวนวรรณกรรมและข้อมูลจากระยะที่ 1 2) ตรวจสอบรูปแบบด้วยการสนทนากลุ่มจากผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน และประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิอีก 7 คน และ 3) จัดทำคู่มือการใช้รูปแบบที่มีองค์ประกอบครบถ้วน ระยะที่ 3 การศึกษาผลการใช้รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้รูปแบบ กับนักเรียน จำนวน 3,530 คน จาก 71 โรงเรียน ใช้กระบวนการบริหารแบบมีส่วนร่วม 5 ขั้นตอน (การร่วมวางแผนพัฒนาทักษะ การร่วมตัดสินใจในการพัฒนาทักษะ การร่วมดำเนินการพัฒนาทักษะ การร่วมประเมินผลการพัฒนาทักษะ และการร่วมรับผลประโยชน์) พร้อมทั้งขับเคลื่อนกระบวนการ PLC และแนวคิด SPLC ร่วมกับการนิเทศติดตามแบบกัลยาณมิตร และระยะที่ 4 การประเมินรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยการประเมินความเหมาะสม ความเป็นประโยชน์ ความเป็นไปได้ และความพึงพอใจจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 165 คน ผ่านแบบสอบถามออนไลน์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัย พบว่า
1. ความต้องการจำเป็น และแนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 พบว่าความต้องการจำเป็นในการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 ในภาพรวม มีสภาพปัจจุบันอยู่ในระดับปานกลาง ( x̄ = 3.32, S.D. = 0.18) และสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด ( x̄ = 4.75, S.D. = 0.14) เมื่อพิจารณาค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI) พบว่า มีค่าเท่ากับ 0.43 ด้านที่มีความต้องการจำเป็นสูงสุด คือ ด้านการร่วมตัดสินใจในการพัฒนาทักษะ (PNI = 0.55) รองลงมาคือ ด้านการร่วมวางแผนพัฒนาทักษะ (PNI = 0.49) และด้านการร่วมประเมินผลการพัฒนาทักษะ (PNI = 0.42) ตามลำดับ ส่วนด้านที่มีความต้องการจำเป็นต่ำสุด คือ ด้านการร่วมรับผลประโยชน์ (PNI = 0.33)
2. รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ดังนี้ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) กระบวนการและขั้นตอนการดำเนินการ ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ 3.1) การร่วมวางแผนพัฒนาทักษะแบบ 3.2) การร่วมตัดสินใจในการพัฒนาทักษะ 3.3) การร่วมดำเนินการพัฒนาทักษะ 3.4) การร่วมประเมินผลการพัฒนา
ทักษะ และ 3.5) การร่วมรับผลประโยชน์ 4) การวัดและประเมินผล โดยผลการประเมินรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้านความเหมาะสม ด้านความเป็นประโยชน์ และด้านความเป็นไปได้ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และผลการประเมินคู่มือการใช้รูปแบบมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุดทุกด้าน มีความเหมาะสมสามารถนำไปใช้ได้จริง
3. ผลการใช้รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการเขต 2 พบว่า หลังการใช้รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีอัตราการผ่านเกณฑ์การประเมินทั้งด้านการอ่านและการเขียนในระดับที่ใกล้เคียงกัน โดยมีอัตราการผ่านเกณฑ์ด้านการอ่าน (71.16%) สูงกว่าด้านการเขียน (70.37%) โดยผลการประเมินการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2566 หลังใช้รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียน จำแนกรายโรงเรียน จำนวน 71 โรงเรียน พบว่า โดยภาพรวมมีการเปลี่ยนแปลงด้านทักษะการอ่านเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.17 และด้านทักษะการเขียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.59 และผลการประเมิน NT (National Test) ด้านภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เปรียบเทียบระหว่างปีการศึกษา 2565 กับปีการศึกษา 2566 พบว่า พัฒนาการด้านภาษาไทยที่มีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 55.04 เป็น 55.28 คิดเป็นผลต่างที่เพิ่มขึ้น 0.24 แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาความสามารถของนักเรียนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
4. ผลการประเมินรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการเขต 2 พบว่า โดยรวมมีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุดทั้ง 3 ด้าน โดยมีผลความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
คำสำคัญ รูปแบบการบริหาร/การบริหารแบบมีส่วนร่วม/การพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียน