๑. ที่มาและความสำคัญของผลงาน นวัตกรรม
๑.๑ ความสำคัญหรือเป็นมาและสภาพของปัญหา
ในยุคปัจจุบัน การเรียนรู้ในระดับปฐมวัยถือเป็นรากฐานสำคัญของพัฒนาการตลอดชีวิต เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่เด็กมีการเจริญเติบโตของสมองและการเรียนรู้ที่รวดเร็วที่สุด โดยเฉพาะด้าน ทักษะการคิด ซึ่งเป็นหัวใจของการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะเป็นการคิดวิเคราะห์ การคิดเชิงระบบ การตั้งคำถาม หรือการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ทั้งนี้ ตามกรอบพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2560 ได้ระบุว่า การพัฒนาเด็กควรส่งเสริมให้เด็กสามารถคิดอย่างมีเหตุผล คิดแก้ปัญหา และเรียนรู้ด้วยตนเอง (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2560)
กิจกรรมบางประเภทที่ดำเนินอยู่ในสถานศึกษายังขาดความสอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กวัยนี้ เน้นการท่องจำ หรือทำตามคำสั่งมากกว่าการฝึกฝนให้เด็กได้คิด ค้นหา ทดลอง และสังเกตสิ่งรอบตัวด้วยตนเอง เด็กจึงมีความลังเลในการแสดงความคิดเห็น ขาดความกล้าในการคิดต่าง และยังไม่สามารถแสดงออกถึงความคิดหรือเหตุผลอย่างมีจุดมุ่งหมาย นอกจากนี้ เด็กยังมีความสนใจและสมาธิสั้นเมื่อเผชิญกับกิจกรรมที่ซ้ำซากหรือไม่ท้าทาย ส่งผลให้การเรียนรู้ไม่มีความต่อเนื่องและไม่สามารถพัฒนาทักษะการคิดได้อย่างลึกซึ้ง อีกทั้งจากการพูดคุยกับครูผู้สอน พบว่าครูยัง ขาดแนวทางหรือเครื่องมือที่ชัดเจนในการจัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงกระบวนการ ทำให้การออกแบบกิจกรรมยังขาดเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนาทักษะการคิดอย่างแท้จริง ครูหลายท่านยังคงใช้วิธีการสอนแบบเดิม โดยไม่มีการประเมินกระบวนการคิดของเด็กอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้ไม่สามารถสะท้อนพัฒนาการทางความคิดของเด็กแต่ละคนได้อย่างชัดเจน
ดังนั้น เพื่อให้การจัดประสบการณ์ทางการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยสอดคล้องกับแนวทางการศึกษาในศตวรรษที่ 21 จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาเครื่องมือหรือแนวทางที่ชัดเจนและเป็นระบบ ที่ช่วยครูจัดกิจกรรมซึ่งเน้นการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ และการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำอย่างแท้จริง
จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในระดับชั้นอนุบาล 3 ของโรงเรียนบ้านแท่นบัลลังก์ พบสภาพปัญหาดังต่อไปนี้: เด็กขาดทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์และคิดสร้างสรรค์ เด็กส่วนมากยังไม่สามารถตั้งคำถาม อธิบายเหตุผล หรือเชื่อมโยงความคิดของตนเองได้อย่างเป็นระบบ อ้างอิง: สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2564). รายงานทักษะศตวรรษที่ 21 ของเด็กไทย กิจกรรมในห้องเรียนยังไม่เปิดโอกาสให้เด็กลงมือคิดจริงอย่างเต็มที่ พบว่ากิจกรรมส่วนใหญ่ยังยึดรูปแบบการทำตามคำสั่งมากกว่าการเรียนรู้จากการทดลองหรือปัญหาเชิงสร้างสรรค์
ครูขาดแนวทางหรือเครื่องมือที่สามารถส่งเสริมการคิดอย่างเป็นระบบ การจัดประสบการณ์ของครูบางรายยังเน้นด้านความรู้และกิจกรรมเสริมทักษะโดยไม่มีกระบวนการคิดร่วมอยู่ด้วย ทำให้เด็กไม่เกิดทักษะเชิงลึกระบบการประเมินไม่สะท้อนกระบวนการคิดของเด็กอย่างแท้จริง เครื่องมือวัดผลที่ใช้ในชั้นเรียนยังเน้นการประเมินผลสัมฤทธิ์มากกว่าการประเมินการคิดเชิงกระบวนการและการสะท้อนความคิดของเด็ก
จากสภาพปัญหาดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนา แนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่สามารถส่งเสริมทักษะการคิดอย่างครบวงจร สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัยและบริบทในห้องเรียน จึงได้พัฒนา KANOM Model ขึ้นมา โดยยึดหลักการจัดการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ ทดลอง ค้นหา และสะท้อนคิด เพื่อกระตุ้นให้เด็กปฐมวัยได้ฝึกคิดอย่างมีเหตุผล และพัฒนาทักษะการคิดที่หลากหลายภายใต้กิจกรรมที่มีความหมาย สนุก และสร้างแรงบันดาลใจ
จากบริบทและปัญหาข้างต้น จึงเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนานวัตกรรม KANOM Model ซึ่งเป็นโมเดลการจัดประสบการณ์ที่ออกแบบอย่างเป็นระบบ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดของเด็กปฐมวัยให้เกิดขึ้นจริงภายใต้กิจกรรมที่สนุก ท้าทาย และเหมาะสมกับพัฒนาการในช่วงวัยของนักเรียน
๑.๒ แนวทางการพัฒนา
จากปัญหาที่พบว่า เด็กปฐมวัยขาดทักษะด้านการคิดอย่างมีเหตุผล ขาดการตั้งคำถามและความกล้าในการแสดงความคิดเห็น อีกทั้งครูยังขาดแนวทางที่ชัดเจนในการจัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมการคิดเชิงระบบ จึงมีความจำเป็นในการพัฒนานวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์ทั้งในระดับผู้เรียนและผู้สอนอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ได้ใช้หลักการ ออกแบบผลงานเชิงระบบ (Systematic Design Thinking) โดยดำเนินการตามแนวทางต่อไปนี้:
๑. วิเคราะห์ปัญหาอย่างลึกซึ้ง (Problem-Driven Approach) เริ่มจากการศึกษาสภาพแวดล้อมของห้องเรียนและพฤติกรรมของเด็กจริงในชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนบ้านแท่นบัลลังก์ เพื่อให้เข้าใจปัญหาเชิงพฤติกรรม ความต้องการ และข้อจำกัดของทั้งผู้เรียนและผู้สอนอย่างแท้จริง
๒. ระบุเป้าหมายของการพัฒนาอย่างชัดเจน (Outcome-Oriented Design) มุ่งเน้นให้เด็กเกิดทักษะการคิดอย่างหลากหลาย เช่น การคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การตั้งคำถาม และการอธิบายเหตุผล พร้อมทั้งวางเป้าหมายให้วัดผลได้ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
๓. ออกแบบนวัตกรรมที่สอดคล้องกับบริบท (Contextual Design) พัฒนาโมเดล KANOM ที่ตอบโจทย์บริบทห้องเรียนจริง โดยใช้กิจกรรมที่สนุก เข้าใจง่าย ใช้สื่อและสิ่งแวดล้อมที่หาได้ในโรงเรียน เช่น ใบไม้ ดินน้ำมัน ของเล่นเพื่อการเรียนรู้
๔. ส่งเสริมบทบาทของครูเป็นผู้อำนวยความคิด (Facilitator-Based Learning) เปลี่ยนบทบาทของครูจากผู้สอน เป็น ผู้อำนวย ที่ออกแบบคำถาม กระตุ้นการคิด และสังเกตพฤติกรรมของเด็กแทนการให้คำตอบโดยตรง
๕. ใช้กระบวนการ PDCA ในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดำเนินการตามขั้นตอน Plan Do Check Act โดยมีการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ผลลัพธ์ และปรับปรุงกิจกรรมให้ตอบสนองต่อปัญหาจริง และนำผลสะท้อนจากครู/เด็กมาใช้ในการปรับพัฒนาแบบต่อเนื่อง
๖. สอดคล้องกับนโยบายของสถานศึกษาและหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย การจัดกิจกรรมตาม KANOM Model สนับสนุนแนวทางการจัดประสบการณ์ที่เน้นพัฒนาทั้งด้านสติปัญญาและอารมณ์ของเด็ก ซึ่งสอดคล้องกับหลักสูตรปฐมวัย พ.ศ. 2560 และแผนยุทธศาสตร์ของสถานศึกษา
การออกแบบนวัตกรรม KANOM Model เริ่มต้นจากการวิเคราะห์ปัญหาที่พบในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งเน้นการจดจำมากกว่าการคิดอย่างมีเหตุผล ส่งผลให้เด็กขาดทักษะในการคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ และไม่กล้าตั้งคำถาม การพัฒนานวัตกรรมจึงต้องออกแบบให้ครอบคลุม ทั้งด้านเนื้อหา วิธีการ และกระบวนการคิด โดยมีแนวคิดสำคัญรองรับ ได้แก่
แนวคิดทางทฤษฎีที่ใช้ในการออกแบบนวัตกรรม
Jean Piaget: เด็กปฐมวัยต้องเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงจึงจะสร้างโครงสร้างความคิดได้
Lev Vygotsky: การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อมีผู้ชี้แนะและอยู่ในขอบเขตการพัฒนาที่ใกล้เคียง
Bruner & Dewey: เด็กเรียนรู้ได้ดีที่สุดผ่านการค้นพบ การตั้งคำถาม และการลงมือปฏิบัติ
แนวคิดเหล่านี้สนับสนุนให้นวัตกรรมออกแบบกิจกรรมในลักษณะ การเรียนรู้เชิงรุกที่เกิดจากการลงมือทำอย่างมีเป้าหมาย ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายหลักของ KANOM Model อย่างชัดเจน
วิธีการออกแบบนวัตกรรม
๑. กำหนดโครงสร้างของโมเดล ออกแบบโมเดลที่มี 5 องค์ประกอบ คือ Knowledge Action Novelty
Outcome Motivation โดยแต่ละองค์ประกอบสอดคล้องกับกระบวนการคิด และสามารถนำไปใช้จัดกิจกรรมจริงในห้องเรียนได้อย่างยืดหยุ่น
๒. พัฒนาแนวทางจัดกิจกรรม ออกแบบกิจกรรมให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ เช่น การคิดวิเคราะห์ (A),
ความคิดสร้างสรรค์ (N), การสะท้อนผล (O) โดยจัดทำกิจกรรมต้นแบบอย่างน้อย 10 รูปแบบ เพื่อให้ครูสามารถนำไปใช้ดัดแปลงตามบริบทจริง
๓. พัฒนาเครื่องมือวัดผลและประเมินผลพัฒนาการ ออกแบบแบบประเมินเชิงพฤติกรรมและแบบสะท้อนคิด
เพื่อวัดทักษะการคิดของเด็กทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ใช้แฟ้มสะสมงาน ภาพกิจกรรม และคำพูดของเด็กเป็นหลักฐานประกอบ
๔. วางระบบการติดตามและปรับปรุง ใช้กระบวนการ PDCA (PlanDoCheckAct) ในการขับเคลื่อน
นวัตกรรม และปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพจริงของแต่ละห้องเรียน
๒. จุดประสงค์และเป้าหมายของการดำเนินงาน
๒.1 จุดประสงค์
๑. เพื่อพัฒนานวัตกรรม KANOM Model ให้เป็นเครื่องมือสำหรับครูในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ส่งเสริมทักษะการคิดของเด็กปฐมวัย
๒. เพื่อออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการคิด วิเคราะห์ ตั้งคำถาม ทดลอง และสร้างสรรค์ ให้
สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กในช่วงวัยปฐมวัย
๓. เพื่อสร้างแรงจูงใจและบรรยากาศการเรียนรู้ที่สนุกสนาน โดยใช้แนวทางที่กระตุ้นให้เด็กกล้าคิด กล้าลองและกล้าแสดงออกทางความคิด
เป้าหมายของผลงาน
เป้าหมายเชิงปริมาณ
๑. นักเรียนโรงเรียนบ้านแท่นบัลลังก์ ชั้นอนุบาล 3 จำนวน ๑๙ คน ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ส่งเสริมทักษะการคิดผ่านกิจกรรมที่ออกแบบตาม KANOM Model
๒. เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการด้านทักษะการคิดเพิ่มขึ้นจากก่อนการใช้โมเดลไม่น้อยกว่า 80 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด
เป้าหมายเชิงคุณภาพ
๑. เด็กปฐมวัยมีความสามารถในการตั้งคำถาม อธิบายแนวคิด และใช้เหตุผลในการแสดงความคิดเห็นได้เหมาะสมตามวัย
๒. เด็กสามารถเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ คิดอย่างเป็นกระบวนการ และแสดงออกถึงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
๓. ครูสามารถออกแบบกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงกระบวนการ โดยใช้โมเดล KANOM ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๓.กระบวนการผลิตนวัตกรรม หรือขั้นตอนการดำเนินงาน
๓.๑ การออกแบบผลงานนวัตกรรม
๑. กำหนดโครงสร้างของโมเดล ออกแบบโมเดลที่มี 5 องค์ประกอบ คือ Knowledge Action Novelty Outcome Motivation โดยแต่ละองค์ประกอบสอดคล้องกับกระบวนการคิด และสามารถนำไปใช้จัดกิจกรรมจริงในห้องเรียนได้อย่างยืดหยุ่น
๒. พัฒนาแนวทางจัดกิจกรรม ออกแบบกิจกรรมให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ เช่น การคิดวิเคราะห์ (A), ความคิดสร้างสรรค์ (N), การสะท้อนผล (O) โดยจัดทำกิจกรรมต้นแบบอย่างน้อย 10 รูปแบบ เพื่อให้ครูสามารถนำไปใช้ดัดแปลงตามบริบทจริง
๓. พัฒนาเครื่องมือวัดผลและประเมินผลพัฒนาการ ออกแบบแบบประเมินเชิงพฤติกรรมและแบบสะท้อนคิด เพื่อวัดทักษะการคิดของเด็กทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ใช้แฟ้มสะสมงาน ภาพกิจกรรม และคำพูดของเด็กเป็นหลักฐานประกอบ
๔. วางระบบการติดตามและปรับปรุง ใช้กระบวนการ PDCA (PlanDoCheckAct) ในการขับเคลื่อนนวัตกรรม และปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพจริงของแต่ละห้องเรียน
แนวคิดการจัดการเรียนรู้
๑. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบลงมือกระทำของ John Dewey Dewey มองว่าการเรียนรู้เกิดจากประสบการณ์จริง เด็กควรมีโอกาสได้ลงมือทำ ทดลอง ตั้งคำถาม และแสวงหาคำตอบด้วยตนเอง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของ KANOM โดยเฉพาะในองค์ประกอบ A (Action) และ O (Outcome) ที่เน้นการเรียนรู้จากกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์
๒. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ Jean Piaget Piaget เชื่อว่าเด็กปฐมวัยอยู่ในระยะพรีโอเปอเรชั่น (Pre-operational stage) ซึ่งเด็กเริ่มใช้สัญลักษณ์ในการคิด แต่ยังไม่สามารถคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น เด็กควรได้รับการจัดประสบการณ์ผ่านการเล่น การทดลอง และการมีส่วนร่วมกับสิ่งแวดล้อมจริง เพื่อพัฒนาโครงสร้างทางความคิด ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของ KANOM ที่ส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุกและคิดอย่างมีความหมาย
๓. ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ของ Jerome Bruner (Constructivism) Bruner เน้นการเรียนรู้แบบสร้างความรู้ขึ้นเองผ่านประสบการณ์ (Discovery Learning) โดยให้ครูทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ มากกว่าผู้ถ่ายทอดเนื้อหา ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทของครูใน KANOM ที่กระตุ้นให้เด็กค้นพบความรู้ผ่านการสำรวจและคิดวิเคราะห์
การออกแบบโมเดลที่มี 5 องค์ประกอบ KANOM MODEL มีดังนี้
K Knowledge (องค์ความรู้)
ในขั้นตอนแรกของโมเดล การจัดกิจกรรมต้องวางพื้นฐานองค์ความรู้ที่เหมาะสมกับพัฒนาการและบริบทของเด็กปฐมวัย โดยเน้นเนื้อหาที่เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน เข้าใจง่าย และสอดคล้องกับความสนใจของเด็ก เช่น ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม อวัยวะในร่างกาย หรือพืชผักในท้องถิ่น ครูควรสร้างความเข้าใจพื้นฐานผ่านสื่อที่หลากหลาย เช่น นิทาน รูปภาพ วิดีโอ หรือการสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อให้เด็กสามารถเชื่อมโยง ความรู้ เข้ากับโลกจริง ทั้งนี้ ครูไม่ควร บอก อย่างเดียว แต่ควรใช้คำถามกระตุ้นความคิด เช่น หนูเคยเห็นสิ่งนี้ที่ไหนบ้าง? ทำไมถึงคิดว่าเป็นแบบนี้? ซึ่งจะช่วยให้ความรู้เกิดจากความเข้าใจ ไม่ใช่การท่องจำ
A Action (การลงมือทำ)
เมื่อลงพื้นฐานของความรู้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการ เปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือทำจริง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนรู้เชิงกระบวนการสำหรับวัยอนุบาล เด็กควรได้มีประสบการณ์ตรง ไม่ว่าจะเป็นการทดลองง่ายๆ การเล่นบทบาทสมมติ การสร้างสรรค์งานศิลป์ การแก้ปัญหาเล็กๆ หรือกิจกรรมกลางแจ้งที่ช่วยพัฒนาเซนส์ของการสังเกตและสำรวจ วางแผนการเดินทางจำลอง หรือทดลองว่าของสิ่งใดลอยน้ำ-จมน้ำ ผ่านกิจกรรมเหล่านี้ เด็กจะได้ใช้ทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็ก-มัดใหญ่ไปพร้อมกับการคิดวิเคราะห์และวางแผน
N Novelty (ความแปลกใหม่)
เด็กปฐมวัยเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อสิ่งที่พบนั้น แปลกใหม่ และท้าทายพอดี ไม่ยากหรือซับซ้อนจนเกินไป ขั้นตอนนี้เน้นการออกแบบกิจกรรมที่ไม่ซ้ำจำเจ เปิดพื้นที่ให้เด็กได้ตั้งคำถามจากสิ่งที่ไม่คาดคิด เช่น ทำไมน้ำแข็งจึงหายไป? หรือ ถ้าไม่มีดวงอาทิตย์จะเกิดอะไรขึ้น? ครูอาจใช้สถานการณ์สมมติ รูปภาพจากต่างประเทศ คลิปวิดีโอแปลกตา หรือแม้กระทั่งวัตถุลึกลับในกล่อง แล้วให้เด็กสังเกต-ตั้งข้อสันนิษฐาน-ทดลอง นอกจากนี้ ยังสามารถใช้การเล่นสร้างสรรค์ เช่น เปลี่ยนกระบะทรายให้กลายเป็น โลกไดโนเสาร์ หรือ ดวงจันทร์จำลอง เพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้เด็กสำรวจต่อยอดได้ด้วยตัวเอง
O Outcome (ผลลัพธ์จากกระบวนการคิด)
เป้าหมายในขั้นตอนนี้ ไม่ได้เน้นเฉพาะคำตอบที่ถูกต้อง แต่เน้นให้เด็กได้เรียนรู้จากผลของการคิด การทดลอง และการตั้งสมมติฐานของตนเอง ครูควรเปิดโอกาสให้เด็กอธิบาย สิ่งที่ค้นพบ หรือ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่คาดไว้ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด เพราะทุกผลลัพธ์คือประสบการณ์เรียนรู้ที่มีคุณค่า เด็กอาจสะท้อนความคิดผ่านคำพูด ภาพวาด หรือการแสดงบทบาท โดยครูควรรับฟังอย่างไม่ตัดสิน และบันทึกพัฒนาการของกระบวนการคิดมากกว่าผลลัพธ์ปลายทาง เช่น เด็กสามารถสรุปเหตุผลจากสิ่งที่ตนเห็น ตอบคำถามด้วยวิธีของตนเอง หรือเปลี่ยนแนวคิดหลังจากทดลองผิดพลาด
M Motivation (แรงจูงใจ)
องค์ประกอบสุดท้ายของโมเดลคือการ จุดประกายความอยากเรียนรู้ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้กิจกรรมการเรียนรู้ดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีพลัง เด็กปฐมวัยจะมีแรงจูงใจสูงเมื่อกิจกรรมนั้นสนุก ท้าทาย เหมาะสมกับวัย และได้รับการยอมรับในความคิดของตน ครูควรใช้การเสริมแรงเชิงบวก เช่น การยิ้ม การชื่นชม ผลงานของเด็กในรูปแบบโปสเตอร์หรือบอร์ดแสดงผลงาน การมอบสติกเกอร์ และที่สำคัญคือ การฟังเด็กอย่างตั้งใจ ทำให้เด็กกล้าพูด กล้าคิด และรู้สึกว่า ความคิดของเขามีความหมาย ซึ่งจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดพฤติกรรมการคิดอย่างต่อเนื่อง
3.2 การดำเนินงานตามกิจกรรม
การวางแผนเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในกระบวนการพัฒนานวัตกรรม KANOM Model โดยมุ่งเน้นการศึกษาข้อมูลและจัดเตรียมความพร้อมก่อนนำไปสู่การปฏิบัติจริงอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การดำเนินงานสามารถตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการได้ตรงประเด็น มีรายละเอียดขั้นตอนดังนี้:
1. ศึกษาปัญหาและวิเคราะห์สภาพบริบท
สำรวจสภาพปัญหาการจัดประสบการณ์ในชั้นอนุบาล 3 ที่ส่งผลต่อพัฒนาการด้านการคิดของเด็ก
สังเคราะห์ข้อมูลจากแบบประเมินเดิม การสังเกต และการสัมภาษณ์
2. กำหนดจุดมุ่งหมายและเป้าหมายของการพัฒนา
กำหนดเป้าหมายทั้งเชิงคุณภาพ (เช่น เด็กกล้าคิดกล้าถาม) และเชิงปริมาณ (เช่น เด็ก 80 ผ่านเกณฑ์พัฒนาการด้านการคิด)
ระบุความคาดหวังที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียน ครู และสถานศึกษา
3. ออกแบบนวัตกรรม KANOM Model ให้สอดคล้องกับบริบท
พัฒนาแนวทางการจัดประสบการณ์โดยใช้แนวคิดองค์ประกอบ KANOM
ออกแบบกิจกรรม สื่อประกอบ และเครื่องมือวัดผลตามแต่ละองค์ประกอบ
4. จัดเตรียมแผนปฏิบัติการ
วางแผนดำเนินกิจกรรมรายสัปดาห์/รายเดือน
ระบุช่วงเวลา ผู้รับผิดชอบ และวิธีติดตามผลอย่างชัดเจน
5. เตรียมครูและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
ประชุมเตรียมความพร้อม ให้ความรู้เกี่ยวกับแนวคิดของโมเดล
สร้างความเข้าใจร่วมกันในวิธีดำเนินงานและเป้าหมาย