ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน T.K.E. SKILLS MODEL เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและความปลอดภัยของนักเรียน โรงเรียนวัดตะคร้ำเอน
ผู้วิจัย นางสาววารุณี ตะโกภู่ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถานศึกษา
วิทยฐานะ ผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ โรงเรียนวัดตะคร้ำเอน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2
ปีที่ทำวิจัย 2566
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและความปลอดภัยของนักเรียนโรงเรียนวัดตะคร้ำเอน 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและความปลอดภัยของนักเรียนโรงเรียนวัดตะคร้ำเอน 3) เพื่อศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน T.K.E. SKILLS MODEL เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและความปลอดภัยของนักเรียนโรงเรียนวัดตะคร้ำเอน 4) เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน T.K.E. SKILLS MODEL เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและความปลอดภัยของนักเรียนโรงเรียนวัดตะคร้ำเอน การวิจัยเป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) วิธีการวิจัยมี 4 ขั้น ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและความปลอดภัยของนักเรียนโรงเรียนวัดตะคร้ำเอน กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน ขั้นตอนที่ 2 พัฒนารูปแบบการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและความปลอดภัยของนักเรียนโรงเรียนวัดตะคร้ำเอน ผู้ให้ข้อมูลในการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ (Connoisseurship) ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำนวน
5 คน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive selection) ขั้นตอนที่ 3 เพื่อศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน T.K.E. SKILLS MODEL เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและความปลอดภัยของนักเรียนโรงเรียนวัดตะคร้ำเอน ในขั้นตอนนี้ผู้วิจัยศึกษาจากประชากรทั้งหมด คือ ครูผู้สอนระดับปฐมวัย - ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 23 คน นักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 6 และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3 ในปีการศึกษา 2566 จำนวน 291 คน ผู้วิจัยใช้ตารางกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie & Morgan, 1970) ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 169 คน รวมทั้งหมด 192 คน ขั้นตอนที่ 4 การประเมินรูปแบบ
การบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน T.K.E. SKILLS MODEL เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและความปลอดภัยของนักเรียนโรงเรียนวัดตะคร้ำเอน ในขั้นตอนนี้ผู้วิจัยศึกษาจากประชากร คือ ครูและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนวัดตะคร้ำเอน จำนวน 28 คน คณะกรรมการสถานศึกษา
จำนวน 13 คน ผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 169 คน รวมทั้งสิ้น 210 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
ผลการวิจัยพบว่า
ผลการศึกษาสภาพการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและความปลอดภัยของนักเรียนโรงเรียนวัดตะคร้ำเอน พบว่า สภาพการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยรวมอยู่ในระดับมาก มีการจัดทำแผนปฏิบัติการ มีเครือข่ายภายในและภายนอก มีการคัดกรองและส่งต่อนักเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ และมีการเยี่ยมบ้านเพื่อเข้าใจสภาพปัญหาอย่างต่อเนื่อง
รูปแบบการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและความปลอดภัยของนักเรียนโรงเรียนวัดตะคร้ำเอน ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 ครู (T = Teach) องค์ประกอบที่ 2 นักเรียน (K = Kid Center) องค์ประกอบที่ 3 ความเสมอภาค (E = Equal) องค์ประกอบที่ 4 การหยุดภัยต่าง ๆ (S = Stop) องค์ประกอบที่ 5 การมีความรู้ (K = Knowledge) องค์ประกอบที่ 6 จินตนาการ (I = Imagine) องค์ปรำกอบที่ 7 การเรียนรู้ตลอดชีวิต (L = Lifelong Learning) องค์ประกอบที่ 8 ความเป็นผู้นำ (L = Leader) และองค์ประกอบที่ 9 ความสำเร็จ (S = Success) ซึ่งผ่านการตรวจสอบความเหมาะสมโดยผู้เชี่ยวชาญร้อยละ 100
ผลการศึกษาการใช้รูปแบบการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน T.K.E. SKILLS MODEL เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและความปลอดภัยของนักเรียน โรงเรียนวัดตะคร้ำเอน
ที่ได้จากแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ของครูผู้สอน สอดคล้องและเป็นแนวทางเดียวกันในด้านความสำเร็จของการนําไปใช้ มากที่สุด ("X" ̅" " = 4.60, S.D. = 0.58) นําไปสู่การปฏิบัติได้จริงใน
การสร้างเสริมทักษะชีวิตและความปลอดภัยของครูและนักเรียน โรงเรียนวัดตะคร้ำเอน
ผลการประเมินรูปแบบโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยทั้ง 9 องค์ประกอบมีค่าเฉลี่ยระหว่าง 4.514.70 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ระหว่าง 0.520.63 แสดงให้เห็นว่ารูปแบบ T.K.E. SKILLS MODEL มีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมที่จะใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและความปลอดภัยในบริบทของโรงเรียนวัดตะคร้ำเอนได้อย่างเป็นรูปธรรม