1. ความสำคัญของผลงาน
1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของผลงาน
การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบการสอนแบบดั้งเดิมที่ครูเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้เพียงฝ่ายเดียว มาเป็นรูปแบบที่ผู้เรียนมีบทบาทในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยเน้นกระบวนการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ และแก้ปัญหา เพื่อให้สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เรื่อง หลักการให้และรับเลือดในระบบ ABO เป็นหัวข้อสำคัญในวิชาชีววิทยา ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตและสุขภาพของมนุษย์โดยตรงแต่นักเรียนมักมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เช่น นักเรียนส่วนหนึ่งเข้าใจว่า คนหมู่เลือด O ไม่สามารถให้เลือดกับใครได้เลย มีการเข้าใจผิดว่า หมู่เลือด A สามารถให้เลือดแก่หมู่เลือด O ได้ หรือขาดความเข้าใจเกี่ยวกับ ปฏิกิริยาการจับตัวกันของแอนติเจนและแอนติบอดี ซึ่งเป็นหลักสำคัญของการให้และรับเลือด เมื่อใช้วิธีการสอนแบบบรรยายเพียงอย่างเดียว นักเรียนยังคงมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนยังอยู่ในระดับสูง (สุภาพร อ่วมประเสริฐ , 2563) ซึ่งเนื้อหานี้มีความสำคัญต่อความเข้าใจในระบบภูมิคุ้มกัน การแพทย์ และการบริจาคเลือด การสอนหัวข้อนี้จึงไม่ควรเน้นเฉพาะการท่องจำเท่านั้น แต่ควรส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถคิดอย่างมีเหตุผล เข้าใจเชิงลึก และอธิบายเชิงหลักฐานได้ นอกจากนี้การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก active Learning ที่เน้นการมีส่วนร่วมของผู้เรียน เช่น การทดลอง การจำลองสถานการณ์ การอภิปราย และการนำเสนอ จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งและยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับ (วิไลวรรณ มั่นยืนยง, 2561) ที่พบว่าหลังจากใช้กิจกรรมแบบแอคทีฟ เช่น เกมจับคู่ และการจำลองสถานการณ์ ผู้เรียนมีความเข้าใจถูกต้องเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
เพื่อให้การเรียนรู้ในหัวข้อนี้มีประสิทธิภาพสูงสุด ครูผู้สอนจึงได้ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง หลักในการให้และรับเลือดในระบบ ABO โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5Es) ร่วมกับการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์และเทคนิค KWL โดยเน้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ซึ่งรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น 5Es จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ เทคนิค KWL ที่ช่วยกระตุ้นความคิดก่อนเรียนและการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ที่ช่วยฝึกให้ผู้เรียนอธิบายสิ่งที่เรียนรู้ด้วยภาษาทางวิทยาศาสตร์อย่างมีระบบ ส่งผลให้ผู้เรียนมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งและสามารถนำไปใช้ในสถานการณ์จริงได้
1.2 แนวคิด ทฤษฎี หลักการที่สำคัญในการออกแบบผลงาน
การออกแบบการจัดการเรียนรู้ครั้งนี้อิงบนฐานของทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) ซึ่งเชื่อว่าผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ใหม่ได้จากประสบการณ์และการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยมีหลักการและแนวคิดสำคัญ ดังนี้
1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผ่านกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry-based Learning) ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยทีมงานของ Biological Sciences Curriculum Study (BSCS) โดยรูปแบบนี้แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนหลัก ดังนี้
- ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) เป็นขั้นตอนการนำเข้าสู่บทเรียนโดยมุ่งเน้นการกระตุ้นความอยากรู้ ความสนใจ
และความเชื่อมโยงกับความรู้เดิมของผู้เรียน โดยครูอาจใช้สื่อ เช่น ภาพ วิดีโอ เรื่องเล่า หรือสถานการณ์จำลอง เพื่อดึงดูดความสนใจ และสร้างคำถามกระตุ้นการคิด ซึ่งในขั้นนี้ผู้เรียนควรได้แสดงความรู้เดิมและสิ่งที่อยากรู้
- ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) ในขั้นนี้ผู้เรียนจะได้ลงมือทำกิจกรรมอย่างอิสระ เช่น การทดลอง การสำรวจ หรือการทำกิจกรรมกลุ่ม เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตนเอง โดยที่ครูทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะหรือผู้เอื้ออำนวยการเรียนรู้
- ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) ผู้เรียนอธิบายสิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้จากกิจกรรม โดยใช้หลักฐานจากการสังเกตหรือการทดลอง พร้อมทั้งฝึกการใช้ภาษาทางวิทยาศาสตร์ในการสื่อสาร ครูจะช่วยสรุปแนวคิดสำคัญหรือเพิ่มเติมเนื้อหาเพื่อเสริมความเข้าใจ
- ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) เป็นการประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์ใหม่ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเชื่อมโยงและเข้าใจเชิงลึกมากขึ้น รวมถึงส่งเสริมให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์อย่างสร้างสรรค์
- ขั้นประเมินผล (Evaluation) ขั้นนี้เน้นการประเมินผลการเรียนรู้ทั้งโดยครูและผู้เรียนเอง ผ่านการทำแบบทดสอบ การสะท้อนความคิด หรือการนำเสนอผลงาน เพื่อวัดความเข้าใจ และการพัฒนาของผู้เรียน
การจัดการเรียนรู้แบบ 5Es ช่วยพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ในทุกระดับ ได้แก่ การสังเกต ตั้งคำถาม ตั้งสมมติฐาน ลงมือทดลอง อธิบายผล และสรุปความรู้ ด้วยการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องของผู้เรียน นำไปสู่ความเข้าใจเชิงลึก (Deep Understanding) ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2) เทคนิค KWL (Know Want to know Learned) เป็นกลยุทธ์การเรียนรู้ที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดทบทวน เกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองรู้ รู้สึกสนใจ และได้เรียนรู้ในแต่ละบทเรียน โดยเป็นเครื่องมือส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีเป้าหมาย และเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับการเรียนรู้แบบ Active Learning และสามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกระดับชั้นและทุกกลุ่มสาระ
KWL ย่อมาจาก 3 คำ ได้แก่
K = What I Know (ฉันรู้อะไรอยู่แล้ว?) เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนระลึกถึงความรู้พื้นฐานหรือประสบการณ์เดิมที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่จะเรียน ซึ่งช่วยให้ครูทราบแนวคิดเบื้องต้นของผู้เรียน และช่วยให้นักเรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ได้ง่ายขึ้น
W = What I Want to Know (ฉันอยากรู้อะไร?) เป็นขั้นตอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนตั้งคำถาม หรือแสดง
ความสนใจเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองอยากรู้เกี่ยวกับหัวข้อนั้น ๆ ช่วยสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ และเป็นเป้าหมายการเรียนของผู้เรียนแต่ละคน
L = What I Learned (ฉันได้เรียนรู้อะไร?) เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ให้ผู้เรียนสะท้อนสิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้จริงๆ
หลังจากผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ เป็นการสรุปความเข้าใจ และเปรียบเทียบกับสิ่งที่อยากรู้ในตอนแรกว่าคำถามใดได้คำตอบบ้างหรือยัง
ประโยชน์ของเทคนิค KWL
- ช่วยให้ผู้เรียนมีเป้าหมายชัดเจนในการเรียน
- กระตุ้นการคิดวิเคราะห์และการตั้งคำถาม
- ส่งเสริมการสะท้อนตนเอง (Self-reflection)
- สร้างความเชื่อมโยงระหว่างความรู้เดิมกับความรู้ใหม่
- สนับสนุนการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)
- เป็นเครื่องมือที่ครูสามารถใช้ในการประเมินก่อน-ระหว่าง-หลังเรียนได้ในตัว
3) การสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Explanation) คือ แนวทางหนึ่งในการพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถ สร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ อย่างมีเหตุผล ผ่านการใช้ข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์ การเชื่อมโยงแนวคิดทางทฤษฎี และการใช้ภาษาทางวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ครอบคลุมทั้งด้านความรู้ ความคิด และการสื่อสาร เสริมสร้างทักษะการคิดเชิงเหตุผล การเชื่อมโยงข้อมูล และการใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายปรากฏการณ์
การสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์มักมีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน (อิงจากแนวคิดของ Toulmins Argumentation Model)
1. Claim (ข้ออ้างหรือคำตอบ) คือ สิ่งที่ผู้เรียนพยายามอธิบาย เช่น เลือดกลุ่ม A ไม่สามารถรับเลือดจาก
กลุ่ม B ได้
2. Evidence (หลักฐาน) คือ ข้อมูลหรือผลการทดลองที่สนับสนุนคำอธิบายนั้น เช่น เพราะแอนติบอดี
anti-B ในเลือดกลุ่ม A จะจับกับแอนติเจน B ทำให้เกิดการตกตะกอน
3. Reasoning (การใช้เหตุผล) คือ การเชื่อมโยงระหว่าง Claim และ Evidence ด้วยแนวคิดหรือทฤษฎี
ทางวิทยาศาสตร์ เช่น หลักการทำงานของภูมิคุ้มกันคือร่างกายจะสร้างแอนติบอดีต่อต้านสิ่งแปลกปลอม
จุดเด่นของการใช้การสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ในการเรียนการสอน
- ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์และการใช้เหตุผล
- ช่วยฝึกการใช้ภาษาเชิงวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้อง
- เน้นการเชื่อมโยงข้อมูลหลักฐานกับแนวคิดทฤษฎี
- สามารถใช้ในการประเมินผลความเข้าใจของผู้เรียนได้ชัดเจน
4) การเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) คือ กระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีบทบาทในการเรียนรู้อย่างแท้จริง โดยไม่ได้เป็นเพียงผู้รับสารจากครูเท่านั้น แต่เป็นผู้ คิด วิเคราะห์ ทดลอง แก้ปัญหา และสื่อสาร ด้วยตนเอง ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การอภิปราย การทำโครงงาน การทดลอง การเล่นเกมการศึกษา หรือการแสดงบทบาทสมมติ เป็นต้น แนวคิดของ Active Learning มีรากฐานมาจากทฤษฎีสร้างองค์ความรู้ (Constructivism) ที่เชื่อว่า "ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อมีส่วนร่วมลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ขึ้นด้วยตนเอง"
ลักษณะสำคัญของ Active Learning
1. ผู้เรียนมีบทบาทเป็นศูนย์กลาง ผู้เรียนไม่ใช่ผู้รับความรู้เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นผู้สร้างองค์ความรู้จากประสบการณ์ตรง
2. ครูเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ (Facilitator) ครูทำหน้าที่ออกแบบกิจกรรม กระตุ้นการคิด ถามคำถามที่ท้าทาย และคอยแนะนำ ไม่ใช่แค่ผู้บรรยายเนื้อหา
3. เน้นกระบวนการมากกว่าคำตอบ ส่งเสริมให้ผู้เรียนคิด วิเคราะห์ ค้นหาคำตอบ และกล้าที่จะผิดพลาด เพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง
4. ใช้กิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การทำงานกลุ่ม การอภิปราย การสร้างผลงาน การทดลอง หรือการจำลองสถานการณ์
ประโยชน์ของ Active Learning
- พัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง: เช่น การวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินผล
- เสริมทักษะการทำงานเป็นทีมและการสื่อสาร
- เพิ่มความมั่นใจและแรงจูงใจในการเรียนรู้
- ช่วยให้นักเรียนจดจำเนื้อหาได้ดีและนานขึ้น
- ส่งเสริมการเรียนรู้เชิงลึกและยั่งยืน (Deep Learning)
ดังนั้น Active Learning คือหัวใจของการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21เพราะไม่เพียงแต่ทำให้ห้องเรียนมีชีวิตชีวา แต่ยัง สร้างผู้เรียนที่สามารถคิดได้ ทำเป็น แก้ปัญหาได้ และเรียนรู้อย่างมีความหมาย ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการศึกษาในยุคปัจจุบัน
2. วัตถุประสงค์และเป้าหมายของผลงาน
การออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้นี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยมีเป้าหมายเพื่อ
1. เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับหลักการให้และรับเลือดในระบบ ABO
2. พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การตั้งคำถาม และการสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน
3. ส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมและการทำงานเป็นทีมผ่านกิจกรรมแบบ Active Learning
4. พัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน เช่น ความรับผิดชอบ ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
3. ขั้นตอนการดำเนินงาน
3.1 การวางแผนการดำเนินงาน
ก่อนเริ่มจัดการเรียนรู้ ผู้สอนได้วิเคราะห์หลักสูตร โครงสร้างรายวิชา และหน่วยการเรียนรู้ พร้อมทั้งศึกษาวิจัยทางการศึกษาที่เกี่ยวกับเรื่อง หลักในการให้และรับเลือดในระบบ ABOและแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5Es) และเทคนิค KWL เพื่อใช้ในการออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับบริบทของห้องเรียน รวมถึงจัดเตรียมสื่อ อุปกรณ์ และแหล่งเรียนรู้ เช่น วิดีทัศน์ เกมการให้เลือด และแบบฝึกหัดต่าง ๆ
3.2 การดำเนินงานตามกิจกรรม
ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง หลักในการให้และรับเลือดในระบบ ABO ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น โดยมีขั้นตอน ดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
- ตรวจสอบความรู้เดิมของนักเรียนโดยบันทึกลงในช่อง K (What I Know)
- ชมวีดิทัศน์และพิจารณาข่าวการให้เลือดแก่ผู้ป่วยผิดหมู่เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้ และร่วมกันอภิปราย
- นักเรียนบันทึกสิ่งที่ต้องการรู้ในช่อง W (What I want to know)
- นักเรียนสร้างข้อกล่าวอ้าง (Claim) ตามองค์ประกอบของการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ จาก
สถานการณ์ปัญหาต่างๆ ที่กลุ่มตนได้รับ ซึ่งนักเรียนต้องสวมบทบาทเป็นบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาล
2) ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration)
- นักเรียนแต่ละกลุ่มลงมือปฏิบัติกิจกรรมการทดลอง เรื่อง หลักการให้และรับเลือดในระบบ ABO ด้วยชุดกิจกรรมจำลองการให้และรับเลือด
- นำข้อมูลหรือข้อค้นพบที่ได้จากการทดลอง/สืบค้นบันทึกลงในข้อหลักฐาน (Evidence)
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
- สุ่มกลุ่มนักเรียนนำเสนอผลการศึกษาจากการปฏิบัติกิจกรรมการทดลอง
- นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและสรุปผลการปฏิบัติกิจกรรมการทดลอง
- นำผลการสรุปและร่วมกันอภิปรายที่ได้รับเขียนให้เหตุผลในสถานการณ์ปัญหาที่กลุ่มตนได้รับลงในช่องการให้เหตุผล (Reasoning)
- นักเรียนแต่ละคนประเมินการเรียนรู้ของตนเอง ในช่อง L (What I learned) ว่านักเรียนได้เรียนรู้อะไรบ้าง
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
- นักเรียนชมวีดีทัศน์ เรื่อง โลหิต 1 ถุงที่บริจาค มีการเดินทางอย่างไร
- นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและสรุปความรู้จากวีดีทัศน์
5) ขั้นประเมินผล (Evaluation)
- นักเรียนแต่ละคนทำกิจกรรม ผ่านเกมการให้และการรับเลือด (Blood Donation)
- นักเรียนบันทึกภาพหน้าจอผลการทำกิจกรรม เกมการให้และรับเลือด (Blood Donation) และส่งภาพคะแนนการทำกิจกรรม โดยส่งบนPadlet
- นักเรียนแต่ละคนทำแบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง หลักการให้และรับเลือดในระบบ ABO
3.3 การประเมินผลการดำเนินงาน
การประเมินผล มีการประเมินผลทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม การสังเกตพฤติกรรม และการสะท้อนผลการเรียนรู้ของผู้เรียนในแต่ละกิจกรรม เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพัฒนาการและความเข้าใจของผู้เรียนอย่างรอบด้าน โดยมีการประเมินผลด้านต่าง ๆ ดังนี้
ด้านความรู้ ประเมินจากภาระ/ชั้นงาน ได้แก่
- แบบบันทึกกิจกรรมการทดลอง เรื่อง หลักการให้และรับเลือดในระบบ ABO
- แบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง หลักการให้และรับเลือดในระบบ ABO
- ผลการทำกิจกรรม เกมการให้และรับเลือด (Blood Donation)
- ใบกิจกรรมสถานการณ์ปัญหา เรื่อง หลักการให้และรับเลือดในระบบ ABO
ด้านทักษะและกระบวนการ ประเมินจาก
- แบบบันทึกกิจกรรมการทดลอง เรื่อง การให้และรับเลือดในระบบ ABO
- การปฏิบัติกิจกรรมทดลอง
ด้านเจตคติ ประเมินจาก
- สังเกตและประเมินพฤติกรรมการร่วมกิจกรรมในชั้นเรียน
3.4 การปรับปรุงและพัฒนา
หลังการจัดการเรียนรู้ ครูได้นำผลการประเมินผู้เรียนและข้อเสนอแนะจากผู้เรียนมาวิเคราะห์ เพื่อปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ เช่น การเพิ่มเวลาในกิจกรรมบางช่วง การใช้สื่อที่เข้าใจง่ายขึ้น และการออกแบบคำถามให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยมีขั้นตอนในการปรับปรุงและพัฒนา ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 วิเคราะห์ผลจากการใช้แผนการจัดการเรียนรู้เดิม
- ศึกษาความเข้าใจผิดที่พบบ่อย เช่น การเข้าใจผิดระหว่างแอนติเจนกับแอนติบอดี หรือความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการให้เลือดที่ปลอดภัย
- ประเมินผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนจากคะแนนใบงาน ใบกิจกรรม การอภิปรายในชั้นเรียน และการตอบ KWL
- สังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning เพื่อดูความมีส่วนร่วม ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และการอธิบายเชิงเหตุผล
ขั้นตอนที่ 2 แลกเปลี่ยนเรียนรู้และวิเคราะห์ร่วมกับครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้
- จัดประชุมกลุ่มย่อยกับครูในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ หรือร่วมในชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC)
- ร่วมกันวิเคราะห์จุดแข็ง จุดที่ควรพัฒนา และความท้าทายของแผนการเรียนรู้ที่ใช้
- รับฟังข้อเสนอแนะจากครูผู้สังเกตชั้นเรียนในการนิเทศชั้นเรียน
ขั้นตอนที่ 3 ปรับรูปแบบกิจกรรมและเครื่องมือการเรียนรู้
- เพิ่มกิจกรรมเสริม เช่น แบบจำลอง AR หรือวิดีโอแสดงการเกิดปฏิกิริยาแอนติเจน-แอนติบอดี เพื่อสร้างความเข้าใจอย่างเป็นรูปธรรม
- ปรับกิจกรรม KWL โดยเพิ่มการอภิปรายกลุ่มย่อยในการสรุปข้อมูลช่วงท้าย
- ขยายเวลาในกิจกรรมขั้นการอธิบายและลงข้อสรุป เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะวิเคราะห์มากขึ้น
ขั้นตอนที่ 4 ทดลองใช้แผนฉบับปรับปรุงในห้องเรียนจริง
- นำแผนการเรียนรู้ที่ได้รับการพัฒนาไปใช้ในชั้นเรียนรอบใหม่
- ใช้การสังเกตชั้นเรียนและบันทึกการมีส่วนร่วมของนักเรียนในกิจกรรม
- เก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณ (แบบทดสอบ) และเชิงคุณภาพ (การสะท้อนความคิด คำอธิบายที่ผู้เรียนสร้าง)
ขั้นตอนที่ 5 ตรวจสอบประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ฉบับใหม่
- วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ของนักเรียนจากการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ฉบับใหม่ เปรียบเทียบกับรอบก่อนหน้า
- สำรวจความพึงพอใจของนักเรียนและประเมินความเข้าใจของนักเรียน
- ตรวจสอบว่าแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นใหม่ช่วยลดความคลาดเคลื่อนทางความเข้าใจได้จริงหรือไม่
ขั้นตอนที่ 6 สรุปผล และเผยแพร่แผนการเรียนรู้ฉบับปรับปรุง
- รวบรวมเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ฉบับสมบูรณ์ พร้อมแนบใบกิจกรรม แบบประเมิน คะแนนของผู้เรียนและผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
- นำแผนไปนำเสนอในชุมชนวิชาชีพหรือเผยแพร่ ในช่องทางต่างๆ
3.5 การใช้ทรัพยากร
ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง หลักในการให้และรับเลือดในระบบ ABO มีการใช้ทรัพยากรการเรียนรู้หลากหลาย เช่น แบบจำลองการให้เลือดโดยการประยุกต์หลักแม่สีในวิชาศิลปะ วิดีทัศน์สั้น ๆ ภาพเกมการให้และการรับเลือดและสื่อดิจิทัลอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมความเข้าใจ สร้างความสนุกในการเรียนและเหมาะสมกับวัย
4. ผลการดำเนินงาน/ผลสัมฤทธิ์/ประโยชน์ที่ได้รับ
4.1 ผลการดำเนินงานแสดงให้เห็นว่า
ผู้เรียนมีความเข้าใจในเนื้อหาอย่างลึกซึ้ง สามารถอธิบายหลักการให้และรับเลือดในระบบ ABO ได้อย่างถูกต้อง มีการใช้คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์อย่างมีเหตุผล และมีความสามารถในการตั้งคำถาม อธิบาย และหาหลักฐานสนับสนุนความเข้าใจของตนเองได้ดีขึ้น
4.2 ผลลัพธ์ของผู้เรียน สถานศึกษาและชุมชน
-ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปอธิบายปรากฏการณ์ในชีวิตจริง เช่น การเลือกกลุ่มเลือดในการบริจาคหรือรับเลือด
-สถานศึกษามีวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้ ที่สามารถเผยแพร่และพัฒนาต่อยอดในการอบรมครูหรือพัฒนาแผนการเรียนรู้ในวิชาวิทยาศาสตร์
4.3 ประโยชน์ที่ได้รับ
-มีการส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การสื่อสาร และความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง
นักเรียนมีแรงจูงใจและสนใจในการเรียนในวิชาชีววิทยาเพิ่มขึ้น
-ครูมีความสามารถในการออกแบบการเรียนรู้แบบ Active Learning อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. ปัจจัยความสำเร็จ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการออกแบบการจัดการเรียนรู้ เรื่อง หลักในการให้และรับเลือดในระบบ ABO โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5Es) ร่วมกับการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์และเทคนิค KWL โดยเน้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) มีดังนี้
1) การออกแบบกิจกรรมที่สอดคล้องกับกระบวนการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ การใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5Es) ทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตามลำดับขั้นตอนอย่างมีระบบ ส่งเสริมให้ผู้เรียนค้นคว้า ทดลอง อธิบาย และสรุปองค์ความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความเข้าใจในเนื้อหาวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน เช่น ปฏิกิริยาแอนติเจน-แอนติบอดี
2) การใช้เทคนิค KWL เพื่อกระตุ้นการคิดก่อนเรียนและสะท้อนผลหลังเรียน การให้ผู้เรียนเขียนสิ่งที่ รู้ (Know) และ อยากรู้ (Want to know) ก่อนเรียน ทำให้ครูสามารถวิเคราะห์พื้นฐานความเข้าใจของผู้เรียน และปรับกิจกรรมให้เหมาะสมได้ ส่วนการเขียนสิ่งที่ ได้เรียนรู้ (Learned) หลังเรียน ช่วยให้เห็นพัฒนาการด้านความเข้าใจที่เป็นรูปธรรม
3) การส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ผู้เรียนมีบทบาทเป็น นักเรียนรู้ ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ทุกขั้นตอน ในการจัดกิจกรรม เช่น การทดลองจำลองการให้เลือด, การอภิปรายกลุ่ม, การอธิบายด้วยโมเดลหรือสื่อ ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนคิด วิเคราะห์ และตั้งคำถามด้วยตนเอง
4) การสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์จากนักเรียนเอง ส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้หลักฐานและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายปรากฏการณ์ เป็นการพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ และการสื่อสารแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งช่วยลดความเข้าใจผิดเดิม
6. บทเรียนที่ได้รับ
การออกแบบการจัดการเรียนรู้เรื่อง หลักในการให้และรับเลือดในระบบ ABO โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5Es) ร่วมกับการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์และเทคนิค KWL ถือเป็นนวัตกรรมที่สามารถแก้ไขความเข้าใจคลาดเคลื่อนของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากเดิมที่นักเรียนมีความเข้าใจผิด หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมแบบ Active Learning นักเรียนมีส่วนร่วมมากขึ้น สามารถเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ได้อย่างเป็นระบบ เกิดการสร้างความรู้ผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์ และอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ด้วยตนเอง ส่งผลให้นักเรียนมีความเข้าใจที่ถูกต้องเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
การเรียนรู้แบบ Active Learning ทำให้นักเรียนไม่เพียงแค่รับความรู้ แต่สามารถ สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ผ่านการคิด วิเคราะห์ และลงมือปฏิบัติ และเทคนิค KWL ช่วยให้ครูเข้าใจระดับความรู้เดิมของนักเรียน และสามารถออกแบบกิจกรรมให้สอดคล้องกับบริบทของผู้เรียน ส่วนการใช้รูปแบบ 5Es ช่วยให้กระบวนการเรียนรู้มีโครงสร้างที่ชัดเจน เป็นลำดับขั้น ส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีความหมาย
นอกจากนี้ยังพบว่าความรู้วิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน เช่น ระบบหมู่เลือด ABO สามารถสื่อสารและสร้างความเข้าใจได้ดีขึ้น เมื่อผู้เรียนมีส่วนร่วมและได้อธิบายด้วยภาษาของตนเอง แต่ควรให้เวลากับขั้น อธิบายและลงข้อสรุป(Explain) มากขึ้น เพื่อให้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนแนวคิด อภิปราย และสร้างความเข้าใจร่วมกัน และควรส่งเสริมการประเมินผลระหว่างเรียนผ่านการใช้คำถามปลายเปิดหรือการอภิปรายกลุ่มย่อย