เรื่อง การพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วม ด้วยกลยุทธ์ตามแนวคิดศาสตร์พระราชา สู่ความสำเร็จรางวัลพระราชทาน โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก
ของโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๖๙ (คลองหลวง)
ผู้วิจัย นางวรชาดา ปัทมทัตตานนท์
ปีการศึกษา 2566
บทคัดย่อ
การพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วม ด้วยกลยุทธ์ตามแนวคิดศาสตร์พระราชา สู่ความสำเร็จรางวัลพระราชทาน โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก ของโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๖๙ (คลองหลวง) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วม ด้วยกลยุทธ์ ตามแนวคิดศาสตร์พระราชา สนับสนุนการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อศึกษา การเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อเปรียบเทียบระดับการปฏิบัติงานของครูต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) สู่ความสำเร็จรางวัลพระราชทาน เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียน ครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้ปกครอง ที่มีผลต่อความสำเร็จรางวัลพระราชทาน โดยวิธีคัดเลือก แบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยแยกกลุ่มเป้าหมาย คือ ครู จำนวน 35 คน นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 82 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 166 คน รวมจำนวนนักเรียนทั้งหมด 248 คน ผู้ปกครองนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 82 คน และผู้ปกครองนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 166 คน รวมจำนวนผู้ปกครองนักเรียนทั้งหมด 248 คน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถามเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วม ด้วยกลยุทธ์ ตามแนวคิดศาสตร์พระราชา สนับสนุนการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) จำนวนคำถาม รวมเป็น 25 ข้อ 2) แบบสอบถามเกี่ยวกับการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) มีจำนวนคำถาม รวมเป็น 30 ข้อ 3) แบบสอบถามเกี่ยวกับการเปรียบเทียบระดับการปฏิบัติงานของครูต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) สู่ความสำเร็จรางวัลพระราชทาน มีจำนวนคำตอบ รวมเป็น 20 ข้อ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียน ครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและผู้ปกครอง ที่มีผลต่อความสำเร็จรางวัลพระราชทาน จำนวน 14 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิจัย การหาความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม โดยวิธีหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC) หาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่า (Alpha Coefficient) ตามวิธี ครอนบาค (Cronbach) สถิติค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) และการทดสอบ ค่าที (T-test dependent) การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างหนึ่งกลุ่ม
สรุปผลการวิจัย
1. ผลการวิเคราะห์การพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วม ด้วยกลยุทธ์ ตามแนวคิดศาสตร์พระราชา สนับสนุนการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (X-bar = 4.59 S.D. = 0.49) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมาก ถึงมากที่สุด เรียงลำดับจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย คือ การมีส่วนร่วมตัดสินใจ (X-bar = 4.63 S.D. =0.48) รองลงมามี 2 ด้านที่มีค่าเฉลี่ยเท่ากัน คือ การมีส่วนร่วมรับรู้ปัญหา และการมีส่วนร่วมดำเนินงาน (X-bar = 4.60 S.D. =0.49) รองลงมา คือ การมีส่วนร่วมคิดร่วมวางแผน (X-bar = 4.58 S.D. = 0.49.) ตามลำดับ เป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 1
2. ผลการวิเคราะห์การเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (X-bar = 4.59 S.D. = 0.49) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด เรียงลำดับจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยมาก ไปหาน้อย คือ ชุมชนกัลยามิตร ( = 4.63 S.D. =0.48) รองลงมา คือ การมีวิสัยทัศน์ร่วม และค่านิยมร่วมกัน ( X-bar = 4.61 S.D. =0.49) รองลงมา คือ โครงสร้างสนับสนุนชุมชน (X-bar = 4.60 S.D. = 0.49) ตามลำดับ เป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 2
3. ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบระดับการปฏิบัติงานของครูต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning ) สู่ความสำเร็จรางวัลพระราชทาน พบว่า ก่อนการวิจัย มีค่าเฉลี่ย (X-bar) เท่ากับ 3.37 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.48 และหลังการวิจัยมีค่าเฉลี่ย (X-bar) เท่ากับ 4.64 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.48 เมื่อพิจารณาเป็นด้านของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) สู่ความสำเร็จรางวัลพระราชทาน ก่อนและหลังการวิจัย พบว่า หลังการวิจัยสูงกว่าก่อนการวิจัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐานข้อ 3
4. ผลการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจของผู้เรียน ครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและผู้ปกครอง ที่มีผลต่อความสำเร็จรางวัลพระราชทาน ในภาพรวมอยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย (X-bar) เท่ากับ 4.66 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.47 เป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 4