บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานสำหรับสร้างรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพ โรงเรียนเทศบาล ๑ (บูรพาวิทยากร) (2) เพื่อสร้างและพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพ โรงเรียนเทศบาล ๑ (บูรพาวิทยากร) (3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพ โรงเรียนเทศบาล ๑ (บูรพาวิทยากร) (4) เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพ โรงเรียนเทศบาล ๑ (บูรพาวิทยากร) กลุ่มเป้าหมายในการทดลองใช้รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วม ในการส่งเสริมสุขภาพ โรงเรียนเทศบาล ๑ (บูรพาวิทยากร) ได้แก่ ศึกษานิเทศก์ จำนวน 1 คน ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 4 คน ครู จำนวน 61 คน พนักงานจ้างและลูกจ้างประจำ จำนวน 21 คน ตัวแทนกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 1 คน ตัวแทนผู้ปกครอง จำนวน 4 คน ตัวแทนชุมชน จำนวน 4 คน และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จำนวน 1 คน ปีการศึกษา 2567 รวมทั้งสิ้น 97 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพ แบบสอบถาม แบบบันทึก แบบประเมิน และประเด็นสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (µ) ค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (σ) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
ผลการวิจัยพบว่า
1. ข้อมูลพื้นฐานสำหรับสร้างรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพโรงเรียนเทศบาล ๑ (บูรพาวิทยากร) ประกอบด้วย สภาพปัญหาเกี่ยวกับการบริหารในการส่งเสริม สุขภาพ โรงเรียนเทศบาล ๑ (บูรพาวิทยากร) โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.54, σ = 0.63) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีระดับปัญหาที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านโครงการร่วมระหว่างโรงเรียนและชุมชน (µ = 4.66, σ = 0.56) รองลงมาคือ ด้านการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนที่เอื้อต่อสุขภาพ(µ = 4.63, σ = 0.61) และด้านบริการอนามัยโรงเรียน (µ = 4.56, σ = 0.60) ตามลำดับ ส่วนระดับความต้องการรูปแบบการบริหารในการส่งเสริมสุขภาพ
โรงเรียนเทศบาล ๑ (บูรพาวิทยากร) โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.68, σ = 0.57) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีระดับความต้องการที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านโครงการร่วม ระหว่างโรงเรียนและชุมชน (µ = 4.78, σ = 0.48) รองลงมาคือ ด้านบริการอนามัยโรงเรียน (µ = 4.73, σ = 0.52) และด้านการให้คำปรึกษาและสนับสนุนทางสังคม (4.72, σ = 0.54) ตามลำดับ
ส่วนหลักการของการบริหารการศึกษาในการส่งเสริมสุขภาพจากเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตำรา บทความ และการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ สรุปได้ว่า การบริหารจัดการเพื่อส่งเสริมสุขภาพในสถานศึกษาตั้งอยู่บนหลักการสำคัญหลายประการ ประการแรก การมีภาวะผู้นำที่เข้มแข็งของผู้บริหารสถานศึกษาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพให้บรรลุเป้าหมาย ประการที่สอง การสร้างเครือข่ายความร่วมมือและการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งรวมถึงครู บุคลากร ผู้ปกครอง และชุมชน นอกจากนี้ การจัดการสิ่งแวดล้อมด้านสุขภาพที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดีของนักเรียนก็เป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งรวมถึงการจัดสภาพแวดล้อมของโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ มีความมั่นคง แข็งแรง และปลอดภัย รวมถึงการให้ความรู้และพัฒนาทักษะการเข้าถึง การสร้างความเข้าใจ และการนำความรู้ด้านสุขภาพไปใช้ในชีวิตประจำวัน และการป้องกันโรคและการแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
2. รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพ โรงเรียนเทศบาล ๑ (บูรพาวิทยากร) ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ (Principles) วัตถุประสงค์ (Objectives) ขอบข่ายในการส่งเสริมสุขภาพ(Content) กระบวนการดำเนินการ (Process) ปัจจัยสนับสนุนความสำเร็จ (Success Factors) การวัดและประเมินผล (Measurement and Evaluation) โดยกระบวนการดำเนินการมี 5 ขั้นตอน ได้แก่การกำหนดนโยบายร่วมกัน (Policy : P ) การวางแผนร่วมกัน (Planning : P) การปฏิบัติร่วมกัน (Implementation : I) การประเมินผลร่วมกัน (Evaluation : E) และการรับผลประโยชน์ร่วมกัน (Benefits : B) ผลการประเมินความเหมาะสมรูปแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ ด้านการใช้ประโยชน์อยู่ในระดับมาก (µ = 4.24, σ= 0.72) ด้านความเป็นไปได้ในการนำไปใช้อยู่ในระดับมาก (µ = 4.17, σ= 0.79) ด้านความเหมาะสมเชิงจริยธรรมอยู่ในระดับมาก (µ = 4.08, σ= 0.95) และด้านความถูกต้องอยู่ในระดับมาก (µ = 4.26, σ= 0.74)
3. ผลการดำเนินงานตามรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพ โรงเรียนเทศบาล ๑ (บูรพาวิทยากร) โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.61, σ = 0.60) เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 3 ลำดับแรก ดังนี้คือ ด้านโภชนาการและอาหารที่ปลอดภัย ( = 4.75, σ = 0.56) รองลงมาด้านสุขศึกษาในโรงเรียน (µ = 4.70, σ = 0.56) และด้านการให้คำปรึกษาและสนับสนุนทางสังคม (µ = 4.66, σ = 0.59)ตามลำดับ และผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพ โรงเรียนเทศบาล ๑ (บูรพาวิทยากร) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.65, σ = 0.59) เมื่อพิจารณารายด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 3 ลำดับแรก ดังนี้คือด้านนักเรียน (µ = 4.67, σ = 0.58) รองลงมาด้านชุมชนและสังคม (µ = 4.66, σ = 0.60) และด้านโรงเรียน (µ = 4.65, σ = 0.60) ตามลำดับ
4. ผลการประเมินรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพ โรงเรียนเทศบาล ๑ (บูรพาวิทยากร) พบว่า ผลการประเมินความพึงพอใจต่อรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพ โรงเรียนเทศบาล ๑ (บูรพาวิทยากร) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.60, σ = 0.63) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อจากมากไปหาน้อยสามลำดับแรก ดังนี้คือ องค์ประกอบด้านหลักการและวัตถุประสงค์มีความเหมาะสม (µ = 4.69, σ = 0.58) รองลงมา โรงเรียนสามารถเป็นต้นแบบและแหล่งเรียนรู้ด้านการส่งเสริมสุขภาพให้กับโรงเรียนอื่นได้ (µ = 4.67, σ = 0.53) และขั้นตอนการประเมินผลร่วมกัน มีวิธีการที่หลากหลาย ครอบคลุม สามารถวัดและประเมินได้ตรงตามสภาพจริง (µ = 4.65, σ = 0.65) โรงเรียนเป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมสุขภาพ ทำให้ความรู้ และพฤติกรรมสุขภาพที่ดีขยายจากนักเรียนไปสู่ครอบครัวและชุมชน (µ = 4.65, σ = 0.63) ตามลำดับ ส่วนผลการประเมินรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพ โรงเรียนเทศบาล ๑ (บูรพาวิทยากร) โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.62, σ= 0.58) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อจากมากไปหาน้อยสามลำดับแรก ดังนี้คือ ความสอดคล้องกับแนวคิดพื้นฐานที่นำมาพัฒนารูปแบบ (µ = 4.71, σ= 0.59) รองลงมาการวัดและประเมินผลมีความสอดคล้องกับหลักการ วัตถุประสงค์ และกระบวนการดำเนินงาน (µ = 4.70, σ= 0.63) และการใช้ภาษาและการเรียบเรียงถ้อยคำมีความชัดเจนและเข้าใจง่าย (µ = 4.67, σ= 0.57) การดำเนินงานตามขั้นตอนทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่วางไว้(µ = 4.67, σ= 0.53) ตามลำดับ