บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการในการบริหารจัดการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน (2) พัฒนา รูปแบบการบริหารจัดการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มแบบมีส่วนร่วมของเครือข่ายสหวิชาชีพและครอบครัวเพื่อสร้างความยั่งยืน (3) ทดลองใช้และประเมินประสิทธิผลของรูปแบบที่พัฒนา และ (4) ปรับปรุงและศึกษาความเป็นไปได้ในการนำรูปแบบและคู่มือการใช้รูปแบบไปประยุกต์ใช้ในสถานศึกษาอื่น การวิจัยเป็นแบบ Research and Development (R&D) ใช้กระบวนการ 4 ระยะตามวงจร PDCA (PlanDoCheckAct) และดำเนินการแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) โดยใช้เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบทดสอบ แบบสัมภาษณ์ แบบประเมิน และแบบสังเกต ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1. สภาพปัจจุบันและความต้องการพัฒนา การบริหารจัดการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มของศูนย์การศึกษาพิเศษอยู่ในระดับ ปานกลาง (x̄= 3.31, S.D. = 0.58) โดยมีจุดแข็งด้านการทำงานของทีมสหวิชาชีพและการดำเนินงานตามกระบวนการ 8 ขั้นตอน แต่ยังมีข้อจำกัดด้านการมีส่วนร่วมของครอบครัวและกลไกประสานงานระหว่างหน่วยงาน ส่วนความต้องการพัฒนาโดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด (x̄ = 4.63, S.D. = 0.46) โดยเฉพาะด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและระบบบริหารจัดการแบบบูรณาการ
2. การพัฒนารูปแบบ รูปแบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 6 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ (1) หลักการของรูปแบบ (2) วัตถุประสงค์ (3) ปัจจัยนำเข้า (4) กระบวนการ 8 ขั้นตอน (5) ผลผลิต และ (6) ระบบข้อมูลป้อนกลับ ผลการประเมินร่างรูปแบบและร่างคู่มือพบว่ามีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในระดับ มากที่สุด (x̄ = 4.684.74) สะท้อนถึงความชัดเจนและความสามารถในการนำไปใช้ได้จริง
3. การทดลองใช้และประเมินผล ผลการทดลองใช้รูปแบบกับกลุ่มตัวอย่าง 47 คน (ประกอบด้วยครู ทีมสหวิชาชีพ บุคลากรสาธารณสุข อสม. และผู้ปกครอง)โดยการอบรมเชิงปฏิบัติการก่อนการดำเนินงาน พบว่าคะแนนความรู้ในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (จากเฉลี่ย 7.02 เป็น 12.68) ความเข้าใจบทบาทการทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.75, S.D. = 0.44) และประเมินผลการดำเนินงานพบว่า ประสิทธิผลการดำเนินงานเฉลี่ยร้อยละ 95.00 โดยขั้นตอน การจัดบริการและเสริมศักยภาพผู้ปกครอง มีประสิทธิผลสูงสุด (ร้อยละ 97.33) สำหรับ ผู้ปกครอง พบว่าความรู้ ทักษะ และความมั่นใจในการดูแลบุตรเพิ่มขึ้นจากระดับปานกลาง (x̄ = 2.74) เป็นระดับมากที่สุด (x̄= 4.81) โดยเฉพาะด้านการจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการในชีวิตประจำวัน ส่วน สมรรถนะของครูและทีมสหวิชาชีพ เพิ่มจากระดับปานกลาง (x̄ = 3.04) เป็นระดับมากที่สุด (x̄= 4.84) สะท้อนถึงการบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบและใช้ข้อมูลเชิงหลักฐานในการปรับแผน IEP/IFSP อย่างต่อเนื่อง ผลต่อพัฒนาการเด็กและคุณลักษณะอันพึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด (ร้อยละ 93.00 และ 98.04 ตามลำดับ) ความพึงพอใจของครู ทีมสหวิชาชีพ และผู้ปกครองอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄= 4.78, S.D. = 0.36)
4. การปรับปรุงและศึกษาความเป็นไปได้ ผลการประชุมสรุปผลกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 47 คนและการประเมินกับผู้บริหาร ครูในเขตการศึกษา 8 จำนวน 21 คน พบว่ารูปแบบและคู่มือมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในระดับ มากที่สุด (x̄= 4.684.70) โดยเฉพาะองค์ประกอบ กระบวนการ 8 ขั้นตอน และ ภาษาคู่มือที่เข้าใจง่าย (x̄ = 4.81) ซึ่งสะท้อนถึง ความยอมรับ (acceptability) ความเหมาะสม (appropriateness) และ ความเป็นไปได้ (feasibility) ของรูปแบบที่สามารถนำไปใช้และขยายผลได้จริงในบริบทของศูนย์การศึกษาพิเศษและสถานศึกษาเครือข่าย
โดยสรุป รูปแบบการบริหารจัดการที่พัฒนาขึ้นมีความถูกต้อง เหมาะสม และมีประสิทธิผลสูง สามารถยกระดับคุณภาพบริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มได้อย่างเป็นระบบ เสริมศักยภาพของครู ทีมสหวิชาชีพ ผู้ปกครอง และพัฒนาการของเด็กอย่างยั่งยืนในบริบทจริงของพื้นที่แม่ฮ่องสอน