1.ความสำคัญและสภาพปัญหา
การศึกษาเป็นความมั่นคงของประเทศการศึกษาต้องสร้างให้คนไทยมีทัศนคติที่ดีและถูกต้องมีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคงเข้มแข็ง มีอาชีพ มีงานทำ และมีความเป็นพลเมืองดี มีระเบียบวินัย (พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐) ซึ่งยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 -2580 ได้กำหนดประเด็นยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ในช่วงวัยเรียน/วัยรุ่น ปลูกฝังความเป็นคนดี มีวินัย พัฒนาทักษะความสามารถการเรียนรู้ที่สอดรับกับการพัฒนาศักยภาพให้สอดคล้องกับความสามารถ ความถนัดและความสนใจ รวมถึงการวางพื้นฐานการเรียนรู้เพื่อการวางแผนชีวิตและวางแผนทางการเงินที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัยและนำไปปฏิบัติได้ ตลอดจนการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ที่เชื่อมต่อกับโลกการทำงาน รวมถึงทักษะอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ มีทักษะชีวิต สามารถอยู่ร่วมและทำงานกับผู้อื่นได้ภายใต้สังคมที่เป็นพหุวัฒนธรรม นอกจากนี้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579 ได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ.2561-2580 ในประเด็นยุทธศาสตร์ ที่ 3 การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัยและการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญประการหนึ่ง คือ เพื่อให้คนทุกช่วงวัยได้รับการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย โดยนักเรียนได้รับการพัฒนาอย่างมีคุณภาพทั้งความรู้ ทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต ทักษะการทำงานที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดงาน (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2561:8) ตามที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 กำหนดแนวทางการจัดการศึกษา โดยยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียน มีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ โดยจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยการเสริมสร้างกระบวนการสร้างอาชีพ สร้างงานที่มีคุณภาพและมีรายได้สูงให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง เพื่อการประกอบอาชีพที่มั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและจุดเน้นของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 25672568 และนโยบายระยะเร่งด่วน (Quick Win) พ.ศ. 2567 ข้อที่ 5 เสริมสร้างทักษะอาชีพและการมีรายได้ระหว่างเรียน และสอดคล้องกับนโยบายและจุดเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสำนัดงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตรัง กระบี่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569-2570 ข้อที่ 1 นักเรียนดี (Smart Student) ด้านทักษะชีวิต ข้อ 1.3.4 มีทักษะอาชีพและการมีงานทำ จึงเห็นได้ว่าการศึกษาเพื่อการพัฒนาทักษะอาชีพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การศึกษาจึงเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศและได้รับการคาดหวังให้ทำหน้าที่ต่าง ๆ ที่เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นส่วนช่วยในการเพิ่มความเท่าเทียมในสังคมและเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอาชีพ ซึ่งมีความสอดคล้องกับผลการวิจัยของ (ดารุณี เดชยศดี,2562) พบว่า สถานศึกษากำหนดกิจกรรมพัฒนาทักษะชีวิตนักเรียนที่ต้องแก้ไขให้สอดคล้องกับบริบทของนักเรียนและท้องถิ่น คือ กิจกรรมส่งเสริมอาชีพและอาชีพที่ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น นอกจากนี้มีความสอดคล้องกับผลการวิจัยของ (ชัยรัตน์ กำลังหาญ, 2565) พบว่า แนวทางในการพัฒนาหลักสูตรให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ อาชีพในท้องถิ่น และความเปลี่ยนแปลงของสังคม มีการจัดการเรียนการสอนให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติจริงและเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย เปิดโอกาสให้ชุมชน หน่วยงานภายนอกทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมทักษะอาชีพในโรงเรียน ด้านบริหารบุคคล มีการพัฒนาบุคลากรให้เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาทักษะอาชีพนักเรียน ครูได้รับการเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับทักษะอาชีพที่หลากหลาย ด้านงบประมาณ มีการวางแผนร่วมกับชุมชนในการใช้ทรัพยากร สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์หรือสื่อสำหรับการเรียนสอนอาชีพและการจัดสรรงบประมาณอย่างเพียงพอ ด้านการบริหารทั่วไป มีการส่งเสริมให้สถาบันอาชีวศึกษา สถานประกอบการ ภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา รวมทั้งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ (พลอยไพลิน พุทธวงศ์, 2567) พบว่า แนวทางการส่งเสริมอาชีพนักเรียนประกอบด้วย การมีส่วนร่วมและการสร้างเครือข่ายพัฒนาการศึกษา การมีส่วนร่วมในการจัดสินใจ การนิเทศติดตาม การจัดการเรียนการสอน การวางแผน การดำเนินการ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาความพร้อมด้านแหล่งเรียนรู้ที่เอื้อต่อการจัดการศึกษา และการมีส่วนร่วมในการประเมินผล ดังที่ (ประวิทย์ อุดมโชติ, 2559) ได้กล่าวไว้ว่า สิ่งสำคัญที่จะพัฒนาประเทศได้ คือการจัดการศึกษาที่ถูกต้องเหมาะสมกับความต้องการ ความถนัด และความสนใจของบุคคล เพื่อพัฒนาตนเอง อันจะส่งผลให้เป็นแนวทางในการเลือกอาชีพให้เหมาะสมกับตนเอง จึงต้องอาศัยกิจกรรมที่หลากหลายในการช่วยเหลือให้เด็กสามารถวางแผนสู่อาชีพ ดังนั้นวิธีการวางแผนมุ่งสู่อาชีพจึงเป็นกระบวนการสำคัญในการพัฒนาเด็กและเยาวชนสู่วัยทำงานที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา เนื่องจากการตัดสินใจเลือกอาชีพของนักเรียนในช่วงวัยนี้จะเป็นการกำหนดแนวทางในการศึกษาและการดำเนินชีวิตในอนาคต ซึ่งสิ่งสำคัญประการแรกก่อนที่จะนำไปสู่การตัดสินใจเลือกอาชีพได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเสริมสร้างให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนสามารถวางแผนให้บรรลุเป้าหมายตามแนวทางของตนเอง (สมร ทองดี, 2555)
จากการจัดการเรียนการสอนของครูได้มีการศึกษาสภาพปัญหาของผู้เรียนและเก็บรวมรวมข้อมูลของผู้เรียนพบว่า ผู้ปกครองของผู้เรียนที่มีรายได้ตั้งแต่ 5,000-10,000 บาท จำนวน 263 คน คิดเป็นร้อยละ 63.07 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่ต้องหารายได้พิเศษช่วงหลังเลิกเรียน และช่วงวันเสาร์ วันอาทิตย์ หยุดจำนวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 10.37 นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ที่ไม่สามารถค้นหาความถนัดและความสนใจในการประกอบอาชีพ จำนวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 6.23 จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าความพร้อมทางด้านเศรษฐกิจของผู้ปกครองส่วนใหญ่ของผู้เรียนมีรายได้น้อย ทำให้ผู้เรียนต้องหารายได้เพื่อแบ่งเบาภาระของครอบครัวหลักจากผู้เรียนเลิกเรียนหรือช่วงวันหยุด นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นว่ามีนักเรียนบางส่วนไม่สามารถค้นหาความถนัด ความสนใจในการประกอบอาชีพ โรงเรียนหนองทะเลวิทยาจึงพัฒนากระบวนการบริหารจัดการสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมโดยใช้รูปแบบ (DOBE Model) เพื่อยกระดับทักษะอาชีพของนักเรียน โดยมุ่งเน้นการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพให้แก่นักเรียนซึ่งจะทำให้นักเรียนเกิดความรู้ ทักษะอาชีพตามความถนัด และความสนใจทันต่อการเปลี่ยนแปลง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป โดยสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน คณะครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ปกครอง และนักเรียน
2. แนวทางแก้ปัญหาและพัฒนา
จากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นของผู้ปกครอง นักเรียนโรงเรียนหนองทะเลวิทยา ข้าพเจ้าในฐานะผู้บริหารสถานศึกษา ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนากระบวนการบริหารจัดการสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมโดยใช้รูปแบบ (DOBE Model) เพื่อยกระดับทักษะอาชีพของนักเรียน ดังนั้น จึงได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี แนวทางในการพัฒนานักเรียนให้มีทักษะอาชีพเพื่อสามารถประกอบอาชีพในท้องถิ่นหรือชุมชนของตนเอง โดยบริหารแบบมีส่วนร่วมตามรูปแบบ (DOBE Model) ประกอบด้วย D-Decision-making (การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ) คือ เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม (ผู้บริหาร ครู คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน และผู้ประกอบการท้องถิ่น) เข้ามาร่วมกันกำหนดทิศทาง นโยบาย ในการพัฒนาและส่งเสริมทักษะอาชีพของนักเรียน O-Operation (การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการ) คือ การที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มร่วมกันดำเนินการตามแผนงานและนโยบายที่ได้ตัดสินใจร่วมกัน เพื่อให้เกิดกิจกรรมการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะอาชีพอย่างแท้จริง B-Benefits (การมีส่วนร่วมในผลประโยชน์) คือ การที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับผลตอบแทนหรือผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง จากการพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และ E-Evaluation (การมีส่วนร่วมในการประเมินผล) คือ การที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มร่วมกันตรวจสอบ ประเมินผล และติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงาน เพื่อวัดว่าโครงการบรรลุวัตถุประสงค์ในการยกระดับทักษะอาชีพของนักเรียนหรือไม่ และระบุจุดที่ต้องปรับปรุง
2. วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการดำเนินงาน
2.1 วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้โรงเรียนมีระบบบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมที่ชัดเจนระหว่างผู้บริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครองและชุมชน
2. เพื่อให้โรงเรียนมีหลักสูตรที่ส่งเสริมอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน
3. เพื่อให้นักเรียนมีทักษะอาชีพที่สอดคล้องกับศักยภาพและความต้องการของตนเอง รวมถึงท้องถิ่นโดยเกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามหลัก DOBE Model
2.2 เป้าหมาย
2.2.1 เป้าหมายเชิงปริมาณ
1. ร้อยละของนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมทักษะอาชีพตามหลักสูตรนอกระบบ (หลักสูตรทวิศึกษา) ไม่น้อยกว่า 90% ของจำนวนนักเรียนทั้งหมดในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
2. จัดกิจกรรมพัฒนาทักษะอาชีพร่วมกับชุมชนและภาคีเครือข่ายไม่น้อยกว่า 6 ครั้งต่อปี (รวมกิจกรรมในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา)
3. มีการจัดทำ/ปรับปรุงหลักสูตรทักษะอาชีพที่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่นอย่างน้อย 2 หลักสูตร
2.2.2 เป้าหมายเชิงคุณภาพ
1. โรงเรียนมีระบบบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมที่ชัดเจนระหว่างผู้บริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน
2. โรงเรียนมีหลักสูตรที่ส่งเสริมอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน
3. เครือข่ายความร่วมมือมีบทบาทอย่างแท้จริงในการสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียน ทั้งด้านทรัพยากร ความรู้ และโอกาสในการฝึกอาชีพ
4. นักเรียนมีทักษะอาชีพที่สอดคล้องกับศักยภาพและความต้องการของตนเอง รวมถึงท้องถิ่น โดยเกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามหลัก DOBE Model