ชื่อเรื่อง การพัฒนาการเรียนการสอน รายวิชาพระพุทธศาสนา โดยใช้
แบบฝึกทักษะส่งเสริมคุณธรรมตามแนวคิดไตรสิกขา เรื่อง พระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ
วัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
ผู้วิจัย นางสากิยา ศิริวงษ์
ปีการศึกษา 2559
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อสร้างและพัฒนาแบบฝึกทักษะส่งเสริมคุณธรรมตามแนวคิดไตรสิกขา เรื่อง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพ
ตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อทดลองใช้แบบฝึกทักษะส่งเสริมคุณธรรมตามแนวคิดไตรสิกขา เรื่อง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และ 3) เพื่อประเมิน ผลการใช้แบบฝึกทักษะส่งเสริมคุณธรรมตามแนวคิดไตรสิกขา เรื่อง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการตามลักษณะของกระบวนการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ซึ่งผู้วิจัยได้แบ่งขั้นตอนการวิจัยออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 การสร้างและพัฒนา ซึ่งเป็นขั้นตอนการออกแบบ สร้าง ประเมินและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะส่งเสริมคุณธรรมตามแนวคิดไตรสิกขา ขั้นที่ 2 ขั้น
การทดลองใช้แบบฝึกทักษะส่งเสริมคุณธรรมตามแนวคิดไตรสิกขา โดยนำไปทดลองใช้จริงกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างตามแบบแผนการทดลองแบบ One Group Pretest - Posttest Design เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน และขั้นประเมินผลการใช้แบบฝึกทักษะส่งเสริมคุณธรรมตามแนวคิดไตรสิกขา ซึ่งเป็นขั้น
การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะส่งเสริมคุณธรรมตามแนวคิดไตรสิกขาเรื่อง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
ผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญสำหรับประเมินความเหมาะสมของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 5 คนและนักเรียนที่ผู้วิจัยใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างในการทดลองใช้แบบฝึกทักษะส่งเสริมคุณธรรมตามแนวคิดไตรสิกขา เรื่อง พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนบ้าน
ตาอุด อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบฝึกทักษะส่งเสริมคุณธรรมตามแนวคิดไตรสิกขา เรื่อง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จำนวน 10 เล่ม 2) คู่มือการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะส่งเสริมคุณธรรมตามแนวคิดไตรสิกขา เรื่อง พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จำนวน 30 ข้อ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ ที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะส่งเสริมคุณธรรมตามแนวคิดไตรสิกขา
เรื่อง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา
และวัฒนธรรม จำนวน 12 ข้อ
การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์โดยการคำนวณหาค่าประสิทธิภาพ (E1/ E2)
ค่าเฉลี่ย ( x̄) ค่าร้อยละ (P) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนโดยการทดสอบค่าที (t - test)
ผลการวิจัย พบว่า
1. แบบฝึกทักษะส่งเสริมคุณธรรมตามแนวคิดไตรสิกขา เรื่อง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 4.62 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.49 และผลการทดสอบประสิทธิภาพกับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง พบว่า
มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 82.49/80.44 ซึ่งมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 สามารถนำไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้
2. ผลการทดลองใช้แบบฝึกทักษะส่งเสริมคุณธรรมตามแนวคิดไตรสิกขาโดยการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะส่งเสริมคุณธรรมตามแนวคิดไตรสิกขา เรื่อง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. ผลการประเมินผลการใช้แบบฝึกทักษะส่งเสริมคุณธรรมตามแนวคิดไตรสิกขา
จากคะแนนความพึงพอใจของนักเรียน พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะส่งเสริมคุณธรรมตามแนวคิดไตรสิกขา เรื่อง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 4.62 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.50