บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษ
ในชีวิตประจำวัน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนเทศบาลบ้านกิโลสอง อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว สังกัดเทศบาลเมืองอรัญญประเทศ จำนวน 29 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม ด้วยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ 1) แบบฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน (Speaking English in Daily Life) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ จำนวน 6 เล่ม 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ มีค่าความยากง่าย ตั้งแต่ 0.44 0.75 ค่าอำนาจจำแนก ตั้งแต่ 0.25 0.75 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.89 และ 3) แบบวัดความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับมีค่าอำนาจจำแนกรายข้อ (rxy) ตั้งแต่ 0.38 - 0.80 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.87 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานใช้ t-test (Dependent Samples)
ผลการศึกษาพบว่า
1) แบบฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 84.02/83.56 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ 80/80
2) ค่าดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษ
ในชีวิตประจำวัน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เท่ากับ 0.7266 แสดงว่าผู้เรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 72.66
3) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน กลุ่มสาระ
การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ พบว่า ค่าคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p < .05)
4) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษ
ในชีวิตประจำวัน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ พบว่า นักเรียน
มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
โดยสรุป การใช้แบบฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ช่วยสร้างเสริมและพัฒนาผู้เรียนด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การคิด และแรงจูงใจในการเรียนค่อนข้างสูง ซึ่งครูผู้สอนสามารถนำแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นไปใช้ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อช่วยในการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุตามจุดประสงค์ที่กำหนด