ครูบ้านนอก

การจัดการเรียนรู้ในปัจจุบันมีลักษณะเป็นเพียงการให้ข้อมูลข่าวสารเพื่อการจดจำ ผลจึงปรากฏว่า ผู้เรียนมีความรู้ระดับจำดี แต่ระดับความคิดหาได้ดีตามไม่ ดังนั้น ควรจัดการเรียนการสอนให้อยู่ในลักษณะของการฝึกให้นักเรียนรู้จักสังเกต คิดวิเคราะห์ แสวงหาคำตอบ และทำความเข้าใจกับเนื้อหาที่เรียนด้วยตนเอง และเสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรมให้ผู้เรียนเป็นคนดี เก่ง และมีความสุข โดยมีผู้สอนคอยให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ (1) พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดคลองขุนศรีโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบสุ จิ ปุ ลิ ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 / 80 (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดคลองขุนศรีโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบสุ จิ ปุ ลิ ที่พัฒนาขึ้น ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดคลองขุนศรีที่มีต่อการเรียนรู้แบบการเรียนรู้แบบสุ จิ ปุ ลิ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดคลองขุนศรี ตำบลขุนศรี อำเภอไทร้อย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 จำนวน จำนวน 1 ห้องเรียน คนจำนวน 21 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย โดยใช้หน่วยการสุ่มเป็นห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มี 3 ชนิด ประกอบด้วย (1) แผนการเรียนรู้ แบบ สุ จิ ปุ ลิ เรื่องศาสนากับการดำเนินชีวิต กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 6 แผน (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ มีค่าความยากตั้งแต่ .20 ถึง .77 และมีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ .20 ถึง .73 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .89 และ (3) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดคลองขุนศรีที่มีต่อการเรียนรู้แบบการเรียนรู้แบบสุ จิ ปุ ลิ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมที่พัฒนาขึ้น มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ .22 ถึง .60 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .82 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีประสิทธิผล และ ทดสอบสมมุติฐานโดยใช้ t – test (Dependent Samples)

ผลการวิจัยปรากฏได้ดังนี้

1. แผนการเรียนรู้ แบบสุ จิ ปุ ลิ ที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.36/88.93 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ 80/80 และค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 4.10 แสดงว่านักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนร้อยละ 4.10

2. นักเรียนที่เรียนด้วยแผนการเรียนรู้ แบบสุ จิ ปุ ที่พัฒนาขึ้น มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

3. นักเรียนในการวิจัยครั้งนี้มีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยแผนการเรียนรู้ แบบสุ จิ ปุ ลิ อยู่ในระดับมาก

โดยสรุป ผลการวิจัยครั้งนี้ทำให้ได้แผนการเรียนรู้แบบ สุ จิ ปุ ลิ เรื่องหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยแผนการเรียนรู้แบบ สุ จิ ปุ ลิ ในระดับมาก แผนการเรียนรู้นี้สามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายได้

เว็บน่าสนใจ