รายงานการวิจัยในชั้นเรียน
ชื่อเรื่อง : การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 6 โดยใช้แบบฝึกทักษะตามแนวการจัดการเรียนรู้แบบ MIA (Merdoch Integrated Approach )
ผู้วิจัย : นางสาวณัฏฐณิกานต์ ทองโคตร
ความสำคัญและปัญหา
ในโลกสังคมปัจจุบันการเรียนรู้ภาษาต่างประทศมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้ การประกอบอาชีพ การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมและมุมมองของสังคมโลก นำมาซึ่งไมตรีและร่วมมือกับประเทศต่างๆ ช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความเข้าใจตนเองและผู้อื่นดีขึ้น เรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของภาษาและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การคิด สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การเมือง การปกครองมีเจตนคติที่ดีต่อการใช้ภาษาต่างประเทศ รวมทั้งเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆได้ง่ายขึ้น มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินชีวิต (กระทรงศึกษาธิการ. 2551 : 56) นอกจากนี้คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลของโลกที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย และเข้ามามีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตของผู้คนจำนวนไม่น้อย จากอิทธิพลความก้าวไกลทางด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร ส่งผลให้ภาษาอังกฤษทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น เมื่อประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งสมาชิกที่ก้าวสู่ประเทศอาเซียน ภาษาอังกฤษยิ่งทวีความสำคัญและความจำเป็นมากขึ้น จึงต้องมีการวางแผนและเตรียมความพร้อมพัฒนาเด็ก เยาวชน และคนไทยให้มีคุณภาพและมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่สังคมคาดหวัง ครูผู้สอนซึ่งเป็นบุคลากรสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ เพื่อพัฒนาสังคมต้องมีการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอน ใฝ่ศึกษาเรียนรู้ตลอดเวลา แสวงหาเทคนิควิธีสอนใหม่ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศและการจัดกิจกรรมการเรียนที่หลากหลาย ผู้บริหารต้องให้ความสำคัญพร้อมสนับสนับสนุนกระบวนการจัดการเรียนการสอนในการเสริมสร้างให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ กระตุ้นให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของภาษาประจำชาติและภาษาต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาความรู้ในสังคมอาเซียนและเวทีโลกต่อไป (ฟาฏินา วงศเลขา. 2553 : 1)
จากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนนายางกลักพิทยาคม พบว่าทักษะที่เป็นปัญหามากที่สุดได้แก่ทักษะการอ่าน เพราะนักเรียนอ่านเนื้อหาไม่เข้าใจ ไม่สามารถวิเคราะห์และตอบคำถามจากเรื่องที่อ่านได้ จากผลการทดสอบระดับโรงเรียน นักเรียนเรียนได้คะแนนเฉลี่ยทักษะการอ่านต่ำกว่า 50 ซึ่งเป็นคะแนนผ่านเกณฑ์ที่โรงเรียนกำหนด( โรงเรียนนายางกลักพิทยาคม. 2559) และพบว่าการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ (O-NET) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2559 มีคะแนนเฉลี่ยในสาระการเรียนรู้ระดับโรงเรียนเท่ากับ 22.32 ซึ่งต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศมีคะแนนเฉลี่ย 29.93 คิดเป็น วิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่นักเรียนทำคะแนนได้ต่ำสุด
ดังนั้นทำให้ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาการพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้แบบฝึกทักษะตามแนวการจัดการเรียนรู้แบบ MIA (Murdoch Integrated Approach) เพื่อที่จะช่วยพัฒนาความสามารถด้านการอ่านได้ตามกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบเป็นขั้นตอนได้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับเป้าหมายตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 และหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนนายางกลักพิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 30 จังหวัดชัยภูมิ
วัตถุประสงค์การวิจัย
1. เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะตามแนวการจัดการเรียนรู้แบบ MIA นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพ (E1/ E2 ) ตามเกณฑ์ 75/75
2. เพื่อศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียน ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะตามแนวการจัดการเรียนรู้แบบ MIA
3. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะตามแนวการจัดการเรียนรู้แบบ MIA ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน
4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะตามแนวการจัดการเรียนรู้แบบ MIA
ขอบเขตการวิจัย
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1.1 ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนนายางกลักพิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 30 จังหวัดชัยภูมิ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 88 คน ใน 4 ห้อง มีเด็กคละความสามารถ เก่ง กลาง อ่อน
1.2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 30 คน โรงเรียนนายางกลักพิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 30 จังหวัดชัยภูมิ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 นักเรียน 1 ห้องเรียน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling)
2. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะตามแนวการจัดการเรียนรู้แบบ MIA
2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่
2.2.1 ความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ
2.2.2 ความพึงพอใจของนักเรียน
3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เป็นเนื้อหาในรายวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ประกอบด้วย 4 สาระการเรียนรู้ 8 มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ประกอบด้วยเรื่อง A beautiful planet Elephant talk Bangkok taxi A special award Guide dogs and Future scooter
4. ระยะเวลา การทดลองดำเนินการทดลอง ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 12 ชั่วโมง
5. สถานที่วิจัย โรงเรียนนายางกลักพิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
เขต 30 จังหวัดชัยภูมิ
วิธีดำเนินการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูล
1. ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) กับกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบทดสอบวัดความสามมารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ เป็นแบบทดสอบปรนัย จำนวน 30 ข้อ ที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นและวิเคราะห์หาคุณภาพแล้ว แล้วบันทึกผลการสอบไว้เป็นคะแนนก่อนเรียน
2. ดำเนินการทดลอง ผู้วิจัยได้ค้นคว้าทดลองการสอนภาษาอังกฤษกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามแผนการจัดการเรียนรู้แบบ MIA ที่ได้จัดทำขึ้นกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 6 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 12 ชั่วโมง
3. หลังการทดลองครบตามแผนการจัดการเรียนรู้แบบ MIA ผู้วิจัยได้ทดสอบหลังเรียน (Post-test) เพื่อทดสอบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของกลุ่มตัวอย่าง หลังจากผ่านการเรียนมาแล้วด้วยแบบทดสอบเดิม
4. สอบถามความพึงพอใจของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 ต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะตามแนวการจัดการเรียนรู้แบบ MIA ซึ่งแบ่งความพึงพอใจที่ต้องการวัดออกเป็น 3 ด้าน คือ ความพึงพอใจด้านบรรยากาศการเรียนรู้ ความพึงพอใจด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และความพึงพอใจด้านประโยชน์ที่นักเรียนได้รับแบบมาตราประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จำนวน 13 ข้อ
การวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้
1. วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ใช้แบบฝึกทักษะตามแนวการจัดการเรียนรู้แบบ MIA โดยใช้สูตร E1/ E2
2. วิเคราะห์หาค่าดัชนีประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านการพัฒนาการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้แบบฝึกทักษะตามแนวการจัดการเรียนรู้แบบ MIA โดยใช้สูตร E.I.
3. เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านการพัฒนาการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้แบบฝึกทักษะตามแนวการจัดการเรียนรู้แบบ MIA ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สถิติ t-test (Dependent Samples)
4. วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะตามแนวการจัดการเรียนรู้แบบ MIA โดยใช้ค่า , S.D. แล้วเทียบกับเกณฑ์
ผลการวิจัย
1. แผนการจัดการเรียนรู้การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้แบบฝึกทักษะตามแนวการจัดการเรียนรู้แบบ MIA มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 85.25/82.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 75/75
2. ค่าดัชนีประสิทธิผลการเรียนรู้ของนักเรียนเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะตามแนวการจัดการเรียนรู้แบบ MIA มีค่าเท่ากับ 0.7331 หรือคิดเป็นร้อยละ 73.31
3. นักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะตามแนวการจัดการเรียนรู้แบบ MIA มีความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้เรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แบบฝึกทักษะตามแนวการจัดการเรียนรู้ แบบ MIA โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( 4.53 , S.D. = 0.57 )
ข้อเสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะเพื่อนำผลการวิจัยไปใช้
1.1 การจัดการเรียนรู้การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยใช้แบบฝึกทักษะตามแนวการจัดการเรียนรู้แบบ MIA ครูผู้สอนจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม ในการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับวิธีสอนดังกล่าว เตรียมสื่อ อุปกรณ์การสอน เช่น ใบความรู้ บัตรภาพ แผ่นภาพ แบบประเมิน แบบบันทึกคะแนน สถานที่ที่ทำการสอนตลอดจนบรรยากาศให้เอื้อและส่งเสริมต่อการจัดกิจรรมการเรียนรู้
1.2 การแบ่งกลุ่มนักเรียนแต่ละกลุ่มควรแบ่งนักเรียนให้คละความสามารถ คือ เด็กเก่ง เด็กปานกลาง และเด็กอ่อน เพื่อนักเรียนจะได้ช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกันภายในกลุ่ม
1.3 การปฏิบัติกิจกรรมในใบความรู้ แบบฝึกหัด ครูควรให้เวลาทำให้เสร็จสิ้นในเวลาเรียนและแจ้งผลการเรียนให้นักเรียนทราบทันที