ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสร้างความรู้ร่วมกับปัญหาเป็นฐาน เรื่องระบบหมุนเวียนเลือดและระบบน้ำเหลือง ในการพัฒนาทักษะ การแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล 4 (วัดบำ

เรื่อง รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสร้างความรู้ร่วมกับปัญหาเป็นฐาน เรื่องระบบหมุนเวียนเลือดและระบบน้ำเหลือง ในการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5

ชื่อผู้วิจัย นายสพายซอง ศรีเคน ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ

โรงเรียนเทศบาล 4 (วัดบำรุงธรรม) เทศบาลเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี

ปีที่วิจัย ปีการศึกษา 2564

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน การจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสร้างความรู้ร่วมกับปัญหาเป็นฐาน เรื่องระบบหมุนเวียนเลือดและระบบน้ำเหลือง ในการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 3) ศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสร้างความรู้ร่วมกับปัญหาเป็นฐาน เรื่องระบบหมุนเวียนเลือดและระบบน้ำเหลือง ในการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และ 4) ประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสร้างความรู้ร่วมกับปัญหาเป็นฐาน เรื่องระบบหมุนเวียนเลือดและระบบน้ำเหลือง ในการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล 4 (วัดบำรุงธรรม) ก่อนนำออกเผยแพร่เป็นผลงานทางวิชาการต่อไป กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ บุคลากรของโรงเรียน จำนวน 7 คน ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 7 คน ประชากรที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2564 ภาคเรียนที่ 2 โรงเรียนเทศบาล 4 (วัดบำรุงธรรม) จำนวน 39 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ประเด็นการจัดการเรียนรู้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินความเหมาะสมและความสอดคล้องของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า มีค่าดัชนีความสอดคล้อง .97 แบบประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า มีค่าความเชื่อมั่น .96 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ มีค่าความเชื่อมั่น .90 แบบวัดทักษะการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ เป็นแบบประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) แบบจัดระดับคุณภาพ (Rating Scale) มีค่าความเชื่อมั่น .93 แบบวัดความพึงพอใจต่อการเรียน เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า มีค่าความเชื่อมั่น .96 และแบบสอบถามเพื่อการประเมินรูปแบบการจัด การเรียนรู้ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า มีค่าความเชื่อมั่น .98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ค่าร้อยละ (percentage) การประเมินผลก่อนเรียนและหลังเรียน และการทดสอบด้วย ค่าที (t – test Dependent Samples และ t – test The One – Shot Case Study)

สรุปผลการวิจัย

1. การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่า โดยรวมใช้สาระรายวิชาชีววิทยา 4 (รหัส ว 32208) นำมาใช้ในการจัดทำเป็นหน่วยการเรียนรู้ เรื่องระบบหมุนเวียนเลือดและระบบน้ำเหลือง วิธีการจัดการเรียนรู้คือ การจัดการเรียนรู้แบบสร้างความรู้ร่วมกับปัญหาเป็นฐาน และทักษะที่ใช้พัฒนานักเรียนคือ ทักษะการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์

2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสร้างความรู้ร่วมกับปัญหาเป็นฐาน เรื่องระบบหมุนเวียนเลือดและระบบน้ำเหลือง ในการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่สร้างขึ้นมีชื่อว่า MRLAE Model มีองค์ประกอบ 6 ด้าน คือ ด้านหลักการ ด้านวัตถุประสงค์ ด้านเนื้อหาสาระ ด้านการจัดการเรียนรู้ ด้านการวัดผลและประเมินผล และด้านผลที่เกิดกับนักเรียน โดยมีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้น คือ ขั้นนำเสนอบทเรียน (Motivating : M) ขั้นศึกษาค้นคว้า (Researching : R) ขั้นจัดการเรียนรู้ (Learning : L) ขั้นนำไปใช้ (Application : A) และขั้นประเมินผล (Evaluating : E) ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสม มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ .97 และครูผู้สอนเห็นว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้และทุกองค์ประกอบมีความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด โดยสูงสุดคือ รูปแบบการจัดการ รองลงมาคือ ด้านเนื้อหาสาระของการจัดการเรียนรู้กับด้านการจัดการเรียนรู้ ต่อมาคือ ด้านหลักการของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ด้านการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้กับผลที่เกิดกับนักเรียน ด้านวัตถุประสงค์ของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตามลำดับ โดยทุกข้อของรูปแบบและองค์ประกอบ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4.57 – 5.00

3. การศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสร้างความรู้ร่วมกับปัญหาเป็นฐาน เรื่องระบบหมุนเวียนเลือดและระบบน้ำเหลือง ในการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล 4 (วัดบำรุงธรรม) มีดังนี้

3.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

3.2 ทักษะการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัด การเรียนรู้ พบว่า โดยรวมนักเรียนมีทักษะการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์หลังเรียน อยู่ในระดับดีมาก ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ (3.00) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยทุกด้านนักเรียนมีทักษะ การแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ อยู่ในระดับดีมาก สูงสุดคือ ด้านวิเคราะห์ปัญหา รองลงมาคือ ด้านกำหนดปัญหา ต่อมาคือ ด้านลงมือแก้ปัญหาและด้านสรุปผล ตามลำดับ และทุกข้อนักเรียนมีทักษะการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ อยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 3.69 – 3.92

4. การประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสร้างความรู้ร่วมกับปัญหาเป็นฐาน เรื่องระบบหมุนเวียนเลือดและระบบน้ำเหลือง ในการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล 4 (วัดบำรุงธรรม) ก่อนนำออกเผยแพร่เป็นผลงานทางวิชาการ มีดังนี้

4.1 ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า โดยรวมนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียน อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.79 โดยทุกด้านนักเรียนมีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากที่สุด สูงสุดคือ ด้านการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ รองลงมาคือ ด้านเนื้อหาสาระการเรียนรู้ ด้านกิจกรรมการเรียนกับด้านสื่อ เทคโนโลยี/แหล่งเรียนรู้ ต่อมาคือ ด้านบรรยากาศในการเรียนรู้ และด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้ ตามลำดับ และ ทุกข้อนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียน อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4.69 – 4.92

4.2 การประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า โดยรวมรูปแบบการจัดการเรียนรู้ มีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด โดยทุกองค์ประกอบมีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด สูงสุดคือ ด้านการจัดการเรียนรู้ รองลงมาคือ ด้านหลักการของรูปแบบจัดการเรียนรู้ ด้านการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้กับด้านผลที่เกิดกับนักเรียน ต่อมาคือ ด้านเนื้อหาของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ และด้านวัตถุประสงค์ของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตามลำดับ โดยทุกข้อของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ มีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4.58 – 5.00 สามารถนำออกเผยแพร่เป็นผลงานทางวิชาการได้ต่อไป

โพสต์โดย สปริงซอง : [29 ส.ค. 2565 เวลา 18:59 น.]
อ่าน [1932] ไอพี : 110.169.12.54
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 18,194 ครั้ง
ความรู้เรื่องเมืองสยาม
ความรู้เรื่องเมืองสยาม

เปิดอ่าน 2,666 ครั้ง
เปิดทริกเพิ่ม "ไอคิว" ลูก เริ่มได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์-กินนมแม่-เล่นอิสระ
เปิดทริกเพิ่ม "ไอคิว" ลูก เริ่มได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์-กินนมแม่-เล่นอิสระ

เปิดอ่าน 20,859 ครั้ง
"ผักชี" ผักพิฆาตอธรรม
"ผักชี" ผักพิฆาตอธรรม

เปิดอ่าน 16,893 ครั้ง
รู้ก่อนสมัครงาน...!! คุณเหมาะกับการทำงานในองค์กรแบบไหน
รู้ก่อนสมัครงาน...!! คุณเหมาะกับการทำงานในองค์กรแบบไหน

เปิดอ่าน 12,070 ครั้ง
บัญญัติ 10 ประการอำพรางหุ่น
บัญญัติ 10 ประการอำพรางหุ่น

เปิดอ่าน 14,900 ครั้ง
เด็กไทยเป็นอัจฉริยะ 4.0 ได้ง่าย ถ้าฝึกช่วงเรียนรู้ไว (3-6 ขวบ)
เด็กไทยเป็นอัจฉริยะ 4.0 ได้ง่าย ถ้าฝึกช่วงเรียนรู้ไว (3-6 ขวบ)

เปิดอ่าน 59,416 ครั้ง
การเขียนรายงาน
การเขียนรายงาน

เปิดอ่าน 9,088 ครั้ง
มติ ครม. เห็นชอบลงทะเบียนซิมเติมเงิน-ฟรี Wi-Fi เป็นวาระแห่งชาติ
มติ ครม. เห็นชอบลงทะเบียนซิมเติมเงิน-ฟรี Wi-Fi เป็นวาระแห่งชาติ

เปิดอ่าน 15,367 ครั้ง
คอกาแฟมีหวังอายุยืนกว่าคนไม่ดื่ม ช่วยป้องกันภัยโรคหัวใจหลอดเลือด
คอกาแฟมีหวังอายุยืนกว่าคนไม่ดื่ม ช่วยป้องกันภัยโรคหัวใจหลอดเลือด

เปิดอ่าน 26,739 ครั้ง
วิธีการให้ได้มาซึ่งใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู
วิธีการให้ได้มาซึ่งใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู

เปิดอ่าน 57,060 ครั้ง
เกลือ
เกลือ

เปิดอ่าน 19,624 ครั้ง
จุดที่เย็นที่สุดในโลก
จุดที่เย็นที่สุดในโลก

เปิดอ่าน 11,775 ครั้ง
ผู้บริหารการศึกษาควรได้รับการปฏิรูปก่อน
ผู้บริหารการศึกษาควรได้รับการปฏิรูปก่อน

เปิดอ่าน 17,488 ครั้ง
ว่านหางจระเข้ สมุนไพรสารพัดประโยชน์
ว่านหางจระเข้ สมุนไพรสารพัดประโยชน์

เปิดอ่าน 103,296 ครั้ง
วิธีซักผ้าที่มีรอยเปื้อนชนิดต่าง ๆ
วิธีซักผ้าที่มีรอยเปื้อนชนิดต่าง ๆ

เปิดอ่าน 66,329 ครั้ง
มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม(2560)
มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม(2560)
เปิดอ่าน 17,682 ครั้ง
พี่น้องร่วมสาบาน
พี่น้องร่วมสาบาน
เปิดอ่าน 13,527 ครั้ง
ชาวเน็ตกดไลค์ คลิปน้องเจนพากย์เสียงเป๊ะเว่อร์มากๆ
ชาวเน็ตกดไลค์ คลิปน้องเจนพากย์เสียงเป๊ะเว่อร์มากๆ
เปิดอ่าน 12,178 ครั้ง
ดิจิตอลอีสาน...ใบลานอิเลคทรอนิกส์
ดิจิตอลอีสาน...ใบลานอิเลคทรอนิกส์
เปิดอ่าน 56,578 ครั้ง
กองทุนเพื่อความเสมอภาค ทางการศึกษา...คืออะไร?
กองทุนเพื่อความเสมอภาค ทางการศึกษา...คืออะไร?

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ