|
Advertisement
|
ชื่อผู้วิจัย นายจตุพล สายงาม
หน่วยงาน โรงเรียนเทศบาล 2 หนองบัว
ปีที่ทำการวิจัย พ.ศ.2567
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการด้านการจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความสำคัญภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2) เพื่อสร้างและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย แบบ สร้างความสนใจ ใฝ่เรียนใฝ่รู้ โยงสู่เนื้อหา พัฒนาการเรียนรู้ (TUTAR Model) เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 3) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย แบบ สร้างความสนใจ ใฝ่เรียนใฝ่รู้ โยงสู่เนื้อหา พัฒนาการเรียนรู้ (TUTAR Model) เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย แบบ สร้างความสนใจ ใฝ่เรียนใฝ่รู้ โยงสู่เนื้อหา พัฒนาการเรียนรู้ (TUTAR Model) เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีการดำเนินการวิจัย 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 Survey (R1) การสำรวจเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลในการสร้าง/พัฒนารูปแบบ ขั้นตอนที่ 2 Product/ Innovation Development (D1) การสร้างและพัฒนารูปแบบ ขั้นตอนที่ 3 Implementation (R2) การทดลองเพื่อตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบ และ ขั้นตอนที่ 4 Evaluation & Revision (D2) การประเมินและปรับปรุงรูปแบบ การวิจัยครั้งนี้ได้นำรูปแบบฯ ไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนเทศบาล 2 หนองบัว สังกัดเทศบาลนครอุบลราชธานี จำนวน 37 คน ที่กำลังเรียนภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โดยการกำหนดกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม และแต่ละห้องเรียนได้มีการคละนักเรียนไว้เรียบร้อยแล้ว เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์สภาพการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วย คู่มือการใช้รูปแบบและแผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดความสามารถ ด้านการอ่านจับใจความสำคัญ และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการทดสอบค่าที (Dependent Samples t-test)
ผลการวิจัยพบว่า
สภาพการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เกี่ยวกับสภาพการจัดการเรียนรู้ วิธีการจัดการเรียนรู้ ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคในการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนจริง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญ ภาพรวมนักเรียนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญวิชาภาษาไทยอยู่ในระดับ ปานกลาง ( = 3.68) โดยมีความคิดเห็นในระดับมาก 3 ลำดับสูงสุด คือ ข้อ 13) ครูสอนการอ่านจากเรื่องง่ายไปหายาก ( = 4.34) รองลงมาก คือ ข้อ 1) นักเรียนมีวัตถุประสงค์ในใจเมื่ออ่านทุกครั้ง ( = 4.04) และข้อ 25) นักเรียนมีความสุขและได้รับความรู้ในการอ่านจับใจความภาษาไทย ( = 4.00) สภาพปัญหาและความต้องการในการจัดการเรียนรู้ด้านการอ่านจับใจความสำคัญ พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านต่ำมีสาเหตุมาจากหลายประการ คือ ครูผู้สอน ไม่ใช้สื่ออุปกรณ์ในการจัดการเรียนการสอน ใช้วิธีสอนแบบบรรยาย นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมน้อย ครูยึดหลักสูตรมากเกินไปและพยายามเร่งสอนให้จบตามหลักสูตร นักเรียนมีความสนใจในวิชาภาษาไทยน้อย ไม่เห็นความสำคัญ ขาดสื่อการเรียนการสอน เอกสารประกอบการสอนไม่น่าสนใจ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ครูใช้ดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนขาดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้ฝึกทักษะทางภาษาอย่างครบถ้วน และไม่ได้ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้อย่างแท้จริง สื่อและอุปกรณ์ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ไม่หลากหลาย และที่สำคัญคือ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ส่วนใหญ่ครูจะเป็นผู้อธิบายให้ความรู้ในเนื้อหา หรือให้นักเรียนศึกษาจากใบความรู้ ใบงาน หนังสือเรียน ครูและนักเรียนมีความต้องการให้การเรียนรู้เป็นลักษณะที่หลากหลาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนคนอื่นๆ ในชั้นเรียนผ่านกิจกรรมการอ่านและคิดวิเคราะห์จับใจความสำคัญที่เป็นกระบวนการขั้นตอนอย่างเหมาะสม และทำกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีการเชื่อมโยงความรู้ด้านต่างๆ และมีการร่วมกันแลกเปลี่ยนในกลุ่มผู้เรียน รวมทั้งมีการนำเสนอผลงานจากการสรุปความรูปในรูปแบบ Concept Mapping หรือรูปแบบอื่นๆ ที่หลากหลาย ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญภาษาไทย และจะเป็นวิธีการที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาไทย
2) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นเป็นการผสมผสานการจัดการเรียนรู้แบบปฏิบัติการ ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง และทฤษฎีการถ่ายโยงการเรียนรู้ โดยมีองค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ กระบวนการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล และเงื่อนไขการนำรูปแบบไปใช้ เรียกว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย แบบ สร้างความสนใจ ใฝ่เรียนใฝ่รู้ โยงสู่เนื้อหา พัฒนาการเรียนรู้ (TUTAR Model) เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีกระบวนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้น ประกอบด้วย ขั้นที่ 1 Triggering ขั้นกระตุ้นและเร้าความสนใจ ขั้นที่ 2 Understanding ขั้นทำความเข้าใจเนื้อหาบทเรียน ขั้นที่ 3 Transferring ขั้นถ่ายโยงความรู้สู่การออกแบบ ขั้นที่ 4 Assessment ขั้นประเมินผลงานผ่านวิธีการที่หลากหลาย และขั้นที่ 5 Reflection ขั้นสรุปและสะท้อนความรู้ โดยรูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีการบูรณาการสภาพการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง คิดและทำกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าสืบเสาะหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ได้เอง โดยครูช่วยกระตุ้นให้เกิดการคิดอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งรูปแบบการจัดการเรียนรู้ดังกล่าวมีประสิทธิภาพ 82.38/84.23 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้
3) ความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังการเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย แบบ สร้างความสนใจ ใฝ่เรียนใฝ่รู้ โยงสู่เนื้อหา พัฒนาการเรียนรู้ (TUTAR Model) เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานการวิจัยที่ตั้งไว้
4) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย แบบ สร้างความสนใจ ใฝ่เรียนใฝ่รู้ โยงสู่เนื้อหา พัฒนาการเรียนรู้ (TUTAR Model) เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเฉลี่ยรวม 4.60 อยู่ในระดับมากที่สุด
|
โพสต์โดย จตุรพิธพรชัย : [11 มิ.ย. 2568 (12:12 น.)] อ่าน [57971] ไอพี : 1.46.155.2
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก
|
Advertisement
|
|
| |
|
|
|
|
โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2. ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป
3. สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น
7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป
** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**
|
| |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡ เปิดอ่าน 17,081 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 37,871 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 29,955 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 25,615 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 8,390 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 29,234 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 17,360 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 15,164 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 17,322 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 11,774 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 11,107 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 11,748 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 18,496 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 15,288 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 32,129 ครั้ง 
| |
|
เปิดอ่าน 17,976 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 17,771 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 67,795 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 16,753 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 265,725 ครั้ง 
|
|

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด
|