บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
การศึกษาเรื่องปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันการปฏิบัติงานของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท ศึกษาความต้องการที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท และหาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของคุรุสภา ในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท วิธีดำเนินการวิจัย แบ่งออกเป็น ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบันการปฏิบัติงานของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประกอบด้วย ข้าราชการครูและบุคลากร ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ ข้าราชการสังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท และข้าราชการบำนาญของจังหวัดชัยนาท ในพื้นที่ 8 อำเภอ คือ อำเภอเมืองชัยนาท อำเภอมโนรมย์ อำเภอ วัดสิงห์ อำเภอสรรพยา อำเภอสรรคบุรี อำเภอหันคา อำเภอหนองมะโมง และอำเภอเนินขาม ที่ใช้บริการงานคุรุสภาผ่านระบบเครือข่ายออนไลน์ และใช้บริการ ณ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท ตามภารกิจคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเกี่ยวกับงานอำนวยการทั่วไป งานควบคุมการประกอบวิชาชีพ และงานยกย่องเชิดชูเกียรติวิชาชีพ ช่วงระหว่างเดือน มีนาคม ถึง พฤษภาคม 2568 จำนวน 293 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาความต้องการที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท ในขั้นตอนที่ 1 โดยการเลือกจากข้อที่มีค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNImodified) ที่มีค่าสูงสุดในแต่ละด้าน มาเป็นกรอบในการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพ ที่พึงประสงค์ของปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท วิเคราะห์ข้อมูลความต้องการจำเป็นของปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท โดยวิธี Priority Needs Index แบบปรับปรุง (PNImodified) ซึ่งเป็นการหาผลต่างระหว่างสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ ขั้นตอนที่ 3 หาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญกลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีประสบการณ์ ในการบริหารการศึกษาและนิเทศการศึกษา จำนวน 5 คน โดยการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) ใช้วิธีสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) นำข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์มาสังเคราะห์ข้อมูลเป็นความเรียงแบบพรรณนาแล้วสรุปประเด็นเนื้อหาข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
ผลการวิจัยปรากฎผล ดังนี้
1. สภาพปัจจุบันการปฏิบัติงานของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท
การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท มีขอบเขตเนื้อหา คือ ความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการให้บริการ ของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท ในเรื่อง 1) ความเป็นรูปธรรมของบริการ 2) ความเชื่อถือไว้วางใจได้ 3) การตอบสนองต่อผู้รับบริการ 4) การให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ และ 5) การรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ และความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท ใน 4 ด้าน คือ 1) ด้านคุณภาพของงาน 2) ด้านปริมาณงาน 3) ด้านระยะเวลา และ 4) ด้านการบริหารงบประมาณ
สภาพปัจจุบันเกี่ยวกับการให้บริการของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (x ̅ = 3.54) เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 1 ด้าน ได้แก่ การให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (x ̅ = 4.02) นอกนั้นอยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การตอบสนองต่อผู้รับบริการ (x ̅ = 3.47) ความเป็นรูปธรรม ของบริการ ความเชื่อถือไว้วางใจได้และการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (x ̅ = 3.46) ตามลำดับ
สภาพปัจจุบันเกี่ยวกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท ในภาพรวม พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง (x ̅ = 3.24) เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลางทุกด้านเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ระยะเวลา (Time) (x ̅ = 3.32) การบริหารงบประมาณ (Costs) (x ̅ = 3.25) คุณภาพของงาน (Quality) (x ̅ = 3.22) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ ปริมาณงาน (Quantity) (x ̅ = 3.16)
2. ความต้องการที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท
ความต้องการจำเป็น พบว่า มีดัชนีความต้องการจำเป็น (PNImodified) ของการให้บริการ ของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท ในภาพรวมเท่ากับ 0.183 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีดัชนีความต้องการจำเป็นสูงสุด คือ ด้านการตอบสนองต่อผู้รับบริการ (PNImodified = 0.240) รองลงมา ได้แก่ ด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (PNImodified = 0.212) ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ(PNImodified = 0.180) ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้ (PNImodified = 0.161) และด้านที่มีดัชนีความต้องการจำเป็นต่ำสุด ได้แก่ ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (PNImodified = 0.077)
ความต้องการจำเป็น พบว่า มีดัชนีความต้องการจำเป็น (PNImodified) ของประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท ในภาพรวมเท่ากับ 0.212 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีดัชนีความต้องการจำเป็นสูงสุด คือ ด้านคุณภาพของงาน (Quality) (PNImodified = 0.265) รองลงมาด้านปริมาณงาน (PNImodified = 0.225) ด้านระยะเวลา (Time) (PNImodified = 0.180) และด้านที่มีค่าความต้องการจำเป็นต่ำสุด ได้แก่ ด้านการบริหารงบประมาณ (Costs) (PNImodified = 0.172)
3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของคุรุสภาในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท
3.1 การให้การบริการ
3.1.1 ด้านความเป็นรูปธรรมของการให้บริการ มีอินเตอร์เน็ตไร้สาย (Wifi) บริการ อย่างทั่วถึง (PNImodified = 0.259) ปัจจัยส่งเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน 1) สำนักงานเลขาธิการ คุรุสภา มีนโยบายส่งเสริมพัฒนาในเรื่องดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการใช้แพลตฟอร์มต่างๆ ทั้งการใช้แบบออนไลน์ และออฟไลน์ สำนักงานคุรุสภาจังหวัดควรมีการให้บริการอินเตอร์ที่ดี ช่วยเพิ่มความสะดวก ในการติดตามความคืบหน้า เสริมประสิทธิภาพในการสื่อสารและการแบ่งปันข้อมูล ทำให้สามารถดำเนินงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิผล 2) เทคโนโลยี มีความจำเป็นในการทำงานสมัยใหม่ สัญญาณอินเตอร์เน็ตไร้สายก็จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการช่วยเหลืองานในการให้บริการ
3.1.2 ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้ พนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ และเต็มใจในการให้บริการสะดวกทุกขั้นตอน (PNImodified = 0.192) ปัจจัยส่งเสริมประสิทธิภาพ การปฏิบัติงาน 1) ความซื่อสัตย์และเต็มใจในการให้บริการช่วยให้ผู้รับบริการรู้สึกมั่นใจว่าขั้นตอนต่าง ๆ จะดำเนินไป อย่างโปร่งใสและยุติธรรม การบริการที่สุจริตและเต็มใจสะท้อนถึงคุณภาพและความน่าเชื่อถือของหน่วยงานในสายตาสาธารณชน มันเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของหน่วยงาน 2) พฤติกรรมที่แสดงถึงความซื่อสัตย์และตั้งใจในการทำงานสามารถกระตุ้นให้เพื่อนร่วมงานมีแรงจูงใจและปฏิบัติตาม เป็นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง และเป็นแบบอย่างที่ดีในองค์กร
3.1.3 ด้านการตอบสนองต่อผู้รับบริการ ระบบการให้บริการสะดวกทุกขั้นตอน (PNImodified = 0.282) ปัจจัยส่งเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน 1) การจัดการงานอย่างเป็นระบบ ช่วยลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถโฟกัสกับภารกิจหลักได้เต็มที่ลดภาระงานซ้ำซ้อน และระบบที่มีความชัดเจนและไม่ซับซ้อน ช่วยให้บุคลากรสามารถให้บริการได้รวดเร็วขึ้น สร้างความ พึงพอใจแก่ผู้รับบริการ เพิ่มความเร็วในการดำเนินงาน 2) เมื่อขั้นตอนการให้บริการถูกออกแบบให้ชัดเจนและตรวจสอบได้ จะลดความผิดพลาดจากการทำงานผิดขั้นตอนหรือข้อมูลคลาดเคลื่อน ลดข้อผิดพลาดในการปฏิบัติงาน ส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น ถ้าระบบบริการที่เป็นระเบียบช่วยให้ การประสานงานระหว่างฝ่ายและหน่วยงานต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดความสับสน
3.1.4 ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ ระบบข้อมูลมีความทันสมัย ถูกต้อง แม่นยำ (PNImodified = 0.155) ปัจจัยส่งเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน 1) เมื่อองค์กรมีข้อมูลที่เชื่อถือได้ จะสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้บริการว่าข้อมูลที่ได้รับมีความน่าเชื่อถือและเป็นปัจจุบัน จะเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้รับบริการ ซึ่งข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยช่วยให้ผู้บริหารสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ วางแผน และตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ ทำงานได้รวดเร็ว ถูกต้อง ไม่ต้องเสียเวลาในการตรวจสอบข้อมูลซ้ำซ้อน
3.1.5 ด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ พนักงานเจ้าหน้าที่มีความตั้งใจที่จะให้บริการ ที่ดีที่สุดกับท่าน (PNImodified = 0.226) ปัจจัยส่งเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน 1) เมื่อเจ้าหน้าที่ มีเจตนารมณ์ที่จะให้บริการอย่างดีที่สุด จะส่งผลต่อความรอบคอบ ความละเอียด และความใส่ใจ ในทุกขั้นตอนของงาน เพิ่มคุณภาพของบริการในทุกมิติ และสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้รับบริการ ความตั้งใจจริงของเจ้าหน้าที่สะท้อนออกมาในการบริการที่สุภาพ เอาใจใส่ และตรงตามความต้องการ ของครู มากที่สุด 2) ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร บุคลากรที่มีทัศนคติในการให้บริการที่ดี เป็นตัวแทนที่สร้างความน่าเชื่อถือและศรัทธาให้แก่องค์กรในสายตาของผู้ประกอบวิชาชีพครู และเสริมสร้างวัฒนธรรมการทำงานเชิงบวกภายในองค์กร ความตั้งใจให้บริการของเจ้าหน้าที่เป็นแบบอย่างที่ดี ส่งผลให้เกิดบรรยากาศการทำงานที่มีความร่วมมือและกำลังใจ การใส่ใจในการบริการจะเป็นกำลังสำคัญ ในการขับเคลื่อนองค์กรให้มีความพร้อม ปรับตัว และแข่งขันได้ในอนาคต เพิ่มขีดความสามารถขององค์กรในระยะยาว
3.2 ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่
3.2.1 ด้านคุณภาพของงาน หน่วยงานได้นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มคุณภาพของงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (PNImodified = 0.301) 1) ปัจจัยส่งเสริมประสิทธิภาพ การปฏิบัติงาน 1) สร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้รับบริการ และส่งเสริมการทำงานร่วมกัน อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีจะสนับสนุนการทำงานแบบทีมและการประสานงานระหว่างหน่วยงานได้แม้อยู่คนละพื้นที่ เช่น การประชุมออนไลน์หรือระบบแชร์ข้อมูล ยกระดับคุณภาพของการให้บริการครูและบุคลากรทางการศึกษาโดยการใช้เทคโนโลยี เช่น ระบบบริการออนไลน์ หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ ช่วยให้ครูเข้าถึงบริการได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการข้อมูล เทคโนโลยีช่วยจัดเก็บและจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ สืบค้นง่าย ปลอดภัย และสามารถนำไปใช้พัฒนางานได้ต่อเนื่อง
3.2.2 ด้านปริมาณงาน หน่วยงานมีการวางแผนบริหารจัดการกับปริมาณงานที่เพิ่มมากขึ้นภายในระยะเวลาที่กำหนด (PNImodified = 0.266) ปัจจัยส่งเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน 1) การวางแผนเชิงกลยุทธ์และการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน จำเป็นอย่างยิ่งที่สำนักงานจะต้องกำหนดเป้าหมายและผลลัพธ์ที่ต้องการให้ชัดเจนในแต่ละขั้นตอน ทั้งในแง่ของงานที่ต้องทำและเวลาที่จะต้องบรรลุเป้าหมาย เพื่อให้ทุกส่วนขององค์กรได้ทราบและสามารถวางแผนดำเนินการตามจุดมุ่งหมายร่วมกัน 2) สามารถดำเนินการติดตามผลและประเมินผลการดำเนินงาน การตั้งตัวชี้วัดประสิทธิภาพ (KPIs) ที่ชัดเจน และระบบตรวจสอบความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้สามารถติดตามการปฏิบัติงานได้ แบบเรียลไทม์ หากพบปัญหาก็ควรปรับแผนการดำเนินงานหรือแนวทางการทำงานให้เหมาะสม
3.2.3 ด้านระยะเวลา พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติงานได้ตามเป้าหมายหรืออาจเกินเป้าหมาย และงานสำเร็จตามกำหนดเวลาทุกครั้งและบางครั้งอาจเร็วกว่ากำหนด (PNImodified = 0.263) ปัจจัยส่งเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน 1) การวางแผนและบริหารจัดการเวลาที่เป็นระบบ ระบบการวางแผนที่รัดกุมร่วมกับการจัดสรรเวลาที่เหมาะสมในแต่ละกิจกรรมช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้เป็นขั้นตอน ลดความซ้ำซ้อนและสามารถส่งมอบงานภายในกำหนดหรือล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรม วัฒนธรรมองค์กรที่ยืดหยุ่น สนับสนุนการทดลองนวัตกรรมและรับฟังความคิดเห็นจากพนักงาน ช่วยให้เกิดความพร้อมในการปรับตัวกับความท้าทายใหม่ ๆ และสร้างบรรยากาศการทำงานที่ส่งเสริมให้มีประสิทธิภาพ ทำให้งานสำเร็จได้ ตามเป้าหมายและรวดเร็วขึ้น
3.2.4 ด้านการบริหารงบประมาณ หน่วยงานใช้วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือต่าง ๆ ในการปฏิบัติงานอย่างถูกวิธีและเหมาะสมกับลักษณะงาน และหน่วยงานสามารถลดความซ้ำซ้อนของงาน เพื่อช่วยลดทรัพยากรที่ใช้ในการปฏิบัติงาน (PNImodified = 0.196) ปัจจัยส่งเสริมประสิทธิภาพ การปฏิบัติงาน 1) การปรับปรุงขั้นตอนการทำงานเพื่อลดความซ้ำซ้อน การออกแบบและปรับปรุงกระบวนการทำงานโดยคำนึงถึงการลดงานที่ซ้ำซ้อนจะช่วยให้การใช้งานวัสดุและเครื่องมือเกิดประโยชน์สูงสุด เสริมสร้างความคล่องตัวและลดการสิ้นเปลืองทรัพยากร การนำเทคโนโลยีและระบบสารสนเทศ มาใช้ การใช้โปรแกรมหรือระบบจัดการงานที่ทันสมัยช่วยติดตามและควบคุมการใช้วัสดุอุปกรณ์ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยให้สามารถตรวจสอบการใช้งานและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง