1. ความสำคัญของนวัตกรรมการศึกษา
การพัฒนาคุณภาพเด็กปฐมวัยถือเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาทุนมนุษย์ของประเทศ เนื่องจากช่วงอายุ 45 ปี เป็นช่วงวัยที่สมองมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว เด็กมีความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติ และเรียนรู้ผ่านการลงมือกระทำจริง หากได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสม จะช่วยส่งเสริมกระบวนการคิด การใช้เหตุผล และการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้อย่างยั่งยืน ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2568 ที่มุ่งเน้นให้เด็กเป็นผู้เรียนรู้เชิงรุก มีทักษะการคิดและการแก้ปัญหาอย่างเหมาะสมกับวัย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568) เด็กปฐมวัยในยุคปัจจุบันเติบโตท่ามกลางสื่อดิจิทัลและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย การจัดการเรียนรู้ในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวจึงอาจไม่เพียงพอในการตอบสนองต่อความแตกต่างระหว่างบุคคล นวัตกรรมระบบนิเวศการเรียนรู้แบบ Hybrid Learning Ecosystem จึงเป็นแนวทางสำคัญที่ผสานการเรียนรู้แบบเผชิญหน้า (On-site) และการเรียนรู้ผ่านสื่อดิจิทัลอย่างเหมาะสมกับวัย เพื่อขยายโอกาสการเรียนรู้ของเด็กให้เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา (Hrastinski, 2019)
การจัดการศึกษาปฐมวัยในปัจจุบันต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลกในศตวรรษที่ 21 ส่งผลให้มีการปรับปรุงแนวทางการพัฒนาเด็กให้สอดคล้องกับสมรรถนะที่จำเป็น ตามแนวทาง หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 ที่มุ่งเน้นการสร้างพื้นฐานคุณภาพชีวิตและการเป็นพลเมืองที่ตื่นรู้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568 2) การสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้แบบ Hybrid จึงเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงประสบการณ์การเรียนรู้ให้ไร้รอยต่อ ทักษะการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์เป็นทักษะพื้นฐานที่สอดคล้องกับธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย เด็กสามารถเรียนรู้การตั้งคำถาม การคาดคะเน การทดลอง การสังเกต และการอธิบายสิ่งที่พบเห็นผ่านกิจกรรมในชีวิตประจำวัน งานวิจัยด้านการศึกษาปฐมวัยชี้ให้เห็นว่าการจัดประสบการณ์แบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry-based learning) ช่วยพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีเหตุผลและทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตั้งแต่วัยเยาว์ (Eshach & Fried, 2016)
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาทักษะการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยจะเกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องควบคู่กับการพัฒนาทักษะ Executive Function (EF) ซึ่งเป็นความสามารถในการควบคุมตนเอง การจดจ่อ การวางแผน และการยืดหยุ่นทางความคิด EF เป็นฐานสำคัญที่ช่วยให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกระบวนการเรียนรู้เชิงสืบเสาะที่ต้องอาศัยการคิดเป็นขั้นตอน (Diamond, 2016) จากการปรับตัวในยุคหลังวิกฤตการณ์สุขภาพสากล รูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Hybrid Learning) กลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยขยายขอบเขตห้องเรียน สอดคล้องกับงานวิจัยที่พบว่าระบบนิเวศการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบ้านและโรงเรียนผ่านเทคโนโลยีที่เหมาะสม ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุกได้อย่างมีนัยสำคัญ (ถนอมพร เลาหจรัสแสง, 2561 42)
การนำกระบวนการ Development และ Executive Function (EF) มาเป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรม สอดรับกับแนวคิดของการพัฒนาทักษะสมองส่วนหน้าเพื่อการจัดการชีวิตให้สำเร็จ โดยเฉพาะในเด็กวัย 4-5 ปี ซึ่งเป็นช่วง "หน้าต่างแห่งโอกาส" ของการพัฒนาทักษะการกำกับตนเองเพื่อไปสู่การใช้เหตุผลที่ซับซ้อนขึ้น (สถาบันรักลูก, 2563 8) การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ เน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและมีส่วนร่วมในกิจกรรมอย่างกระตือรือร้น (กระทรวงศึกษาธิการ, 2562 5) เมื่อผนวกกับขั้นตอนการสร้างแผนที่ชัดเจน จะช่วยให้เด็กอนุบาล 2 สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเองผ่านการลงมือทำมากกว่าการท่องจำ กระบวนการสืบเสาะ (Inquiry Cycle) กับวัยอนุบาล การใช้ Inquiry Cycle ในนวัตกรรมนี้ ช่วยให้เด็กได้ฝึกการตั้งคำถามและหาคำตอบอย่างมีระบบ ซึ่งเป็นหัวใจของการสร้างทักษะการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่ยั่งยืน สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ที่เน้นให้เด็กมีความอยากรู้อยากเห็นและแสวงหาความรู้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2561 24) ขั้นตอนการ Review หรือการสะท้อนคิด (Reflection) เป็นส่วนสำคัญของการประเมินตามสภาพจริงตามหลักสูตรใหม่ ช่วยให้เด็กได้เห็นร่องรอยการคิดของตนเอง (Metacognition) ซึ่งเป็นส่วนเสริมสร้างความเชื่อมั่นในความคิดเชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัยได้อย่างดีเยี่ยม (วิจารณ์ พานิช, 2565 56) การพัฒนานวัตกรรม "ระบบนิเวศการเรียนรู้แบบ Hybrid ตาม DEAIR Model" จึงเป็นการบูรณาการองค์ความรู้สมัยใหม่เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ สอดคล้องกับเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะใหม่ (PA) ที่มุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนและการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ (สำนักงาน ก.ค.ศ., 2564 12)
DEAIR Model ประกอบด้วย Development, Executive Function, Active Learning, Inquiry Cycle และ Review เป็นกรอบแนวคิดที่เชื่อมโยงกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้เกิดความต่อเนื่องเป็นระบบ เริ่มจากการพัฒนาแผนอย่างมีเป้าหมายการเสริมสร้าง EF ของเด็กปฐมวัย การจัดการเรียนรู้เชิงรุกที่เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริง การเรียนรู้แบบสืบเสาะ และการทบทวนสะท้อนผลอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการจัดการเรียนรู้เชิงสมรรถนะตามหลักสูตรใหม่ การนำนวัตกรรมระบบนิเวศการเรียนรู้แบบ Hybrid ตาม DEAIR Model มาใช้ในระดับปฐมวัย จึงเป็นการตอบสนองนโยบายการศึกษาไทยที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะสำคัญในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะทักษะการคิด การใช้เหตุผล และการเรียนรู้ตลอดชีวิต (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2564)
นอกจากนี้ นวัตกรรมดังกล่าวยังช่วยเสริมบทบาทของครูปฐมวัยจากผู้ถ่ายทอดความรู้ไปสู่ผู้ออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ (Learning Designer) และผู้เอื้ออำนวยการเรียนรู้ (Facilitator) สอดคล้องกับการพัฒนาวิชาชีพครูในระดับวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ที่เน้นการสร้างนวัตกรรมและการจัดการเรียนรู้ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์รองรับ
2. วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการดำเนินงาน
2.1 วัตถุประสงค์
1. เพื่อพัฒนานวัตกรรมระบบนิเวศการเรียนรู้แบบ Hybrid ตาม DEAIR Model สำหรับเด็กปฐมวัย
2. เพื่อเสริมสร้างทักษะการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ของเด็กอนุบาล 2 ตามหลักสูตร พ.ศ. 2568
3. เพื่อส่งเสริมทักษะ Executive Function ของเด็กปฐมวัยผ่านกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกและการสืบเสาะ
2.2 เป้าหมายเชิงปริมาณ
1. นักเรียนชั้นอนุบาล 2 จำนวน 12 คน (ชาย 8 คน หญิง 4 คน) อย่างน้อยร้อยละ 80 มีคะแนนทักษะการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับดีขึ้นไป
2.3 เป้าหมายเชิงคุณภาพ
1. เด็กมีพฤติกรรมการตั้งคำถาม การอธิบายเหตุผล และการสังเกตอย่างเป็นระบบเหมาะสมกับวัย
2. เด็กมีความสนใจ ใฝ่รู้ และมีทัศนคติเชิงบวกต่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
3. ขั้นตอนการดำเนินงานตามกระบวนการ Hybrid Learning Ecosystem DEAIR Model
การดำเนินงานใช้กระบวนการ 5 ขั้น ได้แก่ Development, Executive Function, Active Learning, Inquiry Cycle และ Review โดยมีรายละเอียดดังนี้
ขั้นที่ 1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน แนวคิด ทฤษฎี และเอกสารที่เกี่ยวข้อง (Development)
ครูศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2568 แนวคิด Hybrid Learning Ecosystem ทฤษฎีการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ (Constructivism) แนวคิด Executive Function และการจัดการเรียนรู้แบบ Inquiry-based learning เพื่อกำหนดกรอบแนวคิดของนวัตกรรม
ขั้นที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน แนวคิด และเอกสารที่เกี่ยวข้อง (Development)
นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ความเหมาะสมกับบริบทของเด็กอนุบาล 2 วิเคราะห์พัฒนาการเด็ก ความพร้อมด้านเทคโนโลยี และสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ เพื่อนำไปสู่การออกแบบกิจกรรมอย่างเหมาะสม
ขั้นที่ 3 วางแผนและออกแบบแผนการจัดประสบการณ์ (Development → EF)
ออกแบบแผนการจัดประสบการณ์แบบ Hybrid โดยบูรณาการกิจกรรม On-site และ Online อย่างเหมาะสม เน้นกิจกรรมที่ส่งเสริม EF เช่น การรอคอย การทำตามข้อตกลง การวางแผนก่อนทดลอง
ขั้นที่ 4 ทำความเข้าใจการจัดกิจกรรม (Executive Function → Active Learning)
ครูเตรียมความพร้อมเด็กผ่านกิจกรรมกลุ่มย่อย การตั้งกติกา การกระตุ้นสมาธิ และการใช้สื่อหลากหลาย เพื่อให้เด็กพร้อมลงมือปฏิบัติจริง
ขั้นที่ 5 จัดประสบการณ์เสริมสร้างทักษะการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ (Active Learning → Inquiry Cycle)
เด็กได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการสืบเสาะ ได้แก่ การตั้งคำถาม การคาดคะเน การทดลอง การสังเกต และการสรุปผล โดยครูเป็นผู้ชี้แนะและกระตุ้นการคิด
ขั้นที่ 6 วัดและประเมินความสามารถในการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ (Review)
ใช้แบบสังเกตพฤติกรรม แบบประเมินทักษะการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ และการสะท้อนผลร่วมกับเด็ก เพื่อประเมินพัฒนาการอย่างรอบด้าน
4. การเชื่อมโยง DEAIR Model กับตัวชี้วัดหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2568 และเป้าหมายการส่งเสริมทักษะ พัฒนาการอย่างน้อย 2 ด้าน ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2568
ความเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบระหว่างกระบวนการจัดการเรียนรู้ตาม DEAIR Model ได้แก่ Development, Executive Function (EF), Active Learning, Inquiry Cycle และ Review กับตัวชี้วัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2568 โดยมีการเชื่อมโยงแต่ละขั้นตอนกับตัวชี้วัดและพัฒนาการ ดังนี้
ตารางที่ 1 ตรารางการเชื่อมโยง DEAIR Model กับตัวชี้วัดหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2568 และเป้าหมายการส่งเสริมทักษะ พัฒนาการอย่างน้อย 2 ด้าน ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2568
องค์ประกอบ DEAIR Model แนวคิดสำคัญของกระบวนการ ป้าหมายการส่งเสริมทักษะและพัฒนาการตามหลักสูตร 2568 ตัวชี้วัด / สมรรถนะตามหลักสูตร 2568 พฤติกรรมที่คาดหวังของเด็กปฐมวัย (อนุบาล 2) ลักษณะกิจกรรมตัวอย่าง
D Development
การพัฒนาแผน
และระบบนิเวศ
การเรียนรู้ การออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ที่สอดคล้องพัฒนาการเด็ก ด้านสติปัญญา การเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ - สมรรถนะการเรียนรู้และการพัฒนาตนเอง
- การใช้ประสบการณ์เดิม เด็กสามารถเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมกับกิจกรรมใหม่ แสดง การสนทนานำก่อนเรียน การใช้สื่อจริงและสื่อดิจิทัลร่วมกัน
องค์ประกอบ DEAIR Model แนวคิดสำคัญของกระบวนการ ป้าหมายการส่งเสริมทักษะและพัฒนาการตามหลักสูตร 2568 ตัวชี้วัด / สมรรถนะตามหลักสูตร 2568 พฤติกรรมที่คาดหวังของเด็กปฐมวัย (อนุบาล 2) ลักษณะกิจกรรมตัวอย่าง
บริบท และเป้าหมายสมรรถนะ ใหม่ การคิดเชิงเหตุผลเบื้องต้นด้านภาษา การฟัง การสนทนา และการสื่อสารความคิดจากประสบการณ์ เชื่อมโยงการเรียนรู้ใหม่ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568) ความสนใจและมีส่วนร่วมในการเรียนรู้
E Executive Function (EF)ความสามารถในการบริหารจัดการตนเอง การส่งเสริมการควบคุมตนเอง สมาธิ การรอคอย การทำตามข้อตกลง ด้านอารมณ์จิตใจ การควบคุมอารมณ์ ความอดทน การรอคอย
ด้านสังคม การปฏิบัติตามกติกา การทำงานร่วมกับผู้อื่น - สมรรถนะด้านอารมณ์จิตใจ
- การกำกับตนเองและการทำงานร่วมกับผู้อื่น เด็กรอคอยตามลำดับ ปฏิบัติตามข้อตกลง ควบคุมอารมณ์ระหว่างทำกิจกรรม เกมฝึกสมาธิ กติกากลุ่มย่อย การวางแผนก่อนทดลอง
A Active Learningการเรียนรู้เชิงรุก เด็กเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ด้านสติปัญญา การคิด การแก้ปัญหา การเรียนรู้จากการลงมือทำ
ด้านร่างกาย การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ในการทำกิจกรรม
- สมรรถนะการคิดและการแก้ปัญหา
- พัฒนาการด้านสติปัญญา เด็กกล้าลองผิดลองถูก ใช้วัสดุอุปกรณ์อย่างเหมาะสม และอธิบายสิ่งที่ทำได้ การทดลองง่าย ๆ การเล่นบทบาทสมมติ การเรียนรู้จากฐานกิจกรรม
องค์ประกอบ DEAIR Model แนวคิดสำคัญของกระบวนการ ป้าหมายการส่งเสริมทักษะและพัฒนาการตามหลักสูตร 2568 ตัวชี้วัด / สมรรถนะตามหลักสูตร 2568 พฤติกรรมที่คาดหวังของเด็กปฐมวัย (อนุบาล 2) ลักษณะกิจกรรมตัวอย่าง
I Inquiry Cycleกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ การตั้งคำถาม คาดคะเน ทดลอง สังเกต และสรุปผลอย่างเป็นลำดับขั้น ด้านสติปัญญา การใช้เหตุผล การคิดเชิงวิทยาศาสตร์ตามวัยด้านภาษา การอธิบายผล การเล่าเรื่องจากการสังเกต - สมรรถนะการคิดเชิงเหตุผลและการคิดเชิงวิทยาศาสตร์
- การสื่อสารความคิด เด็กตั้งคำถามจากสิ่งรอบตัว บอกเหตุผลจากการสังเกต และอธิบายผลการทดลองด้วยภาษาของตนเอง กิจกรรมทดลองทางวิทยาศาสตร์อย่างง่าย เช่น น้ำ ดิน อากาศ แสง
R Reviewการทบทวนและสะท้อนผลอย่างสร้างสรรค์ การสะท้อนผลการเรียนรู้ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการประเมินตามสภาพจริง ด้านภาษา การเล่าเรื่อง การอธิบายความคิด ความรู้สึกด้านสังคมอารมณ์ การรับฟังผู้อื่น การแสดงออกอย่างเหมาะสม - สมรรถนะการสื่อสารและการเรียนรู้ร่วมกัน- การพัฒนาการคิดอย่างต่อเนื่อง เด็กเล่าเรื่องสิ่งที่เรียนรู้ บอกสิ่งที่ชอบหรือสิ่งที่ค้นพบ และฟังความคิดเห็นผู้อื่น การวาดภาพสรุป การเล่าเรื่องจากผลงาน
การส่งเสริมผ่านนวัตกรรม
1. ส่งเสริมให้เด็กเกิด ความเชื่อมั่นในตนเอง (Self-Efficacy) เมื่อสามารถค้นพบคำตอบด้วยตนเองผ่านกระบวนการ Active Learning (A)
2. การเรียนรู้แบบ Hybrid ช่วยให้เด็กเกิดความสนใจใฝ่เรียนรู้ (Inquisitiveness) และมีเจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์ โดยไม่รู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องยาก แต่เป็นเรื่องของการค้นพบที่สนุกสนาน (R Review)
5. นิยามศัพท์เฉพาะที่ใช้ในนวัตกรรม
1. แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง เอกสารหรือกรอบการออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ที่ครูกำหนดวัตถุประสงค์ เนื้อหา กิจกรรม สื่อ วิธีการจัดการเรียนรู้ และการประเมินผลให้สอดคล้องกับพัฒนาการและบริบทของเด็กปฐมวัย ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2568 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568)
2. เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กอายุระหว่าง 36 ปี ที่ได้รับการพัฒนาอย่างรอบด้านทั้งด้านร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคม และสติปัญญา ผ่านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสมกับวัย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568)
3. ทักษะการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถของเด็กปฐมวัยในการตั้งคำถาม การคาดคะเน การสังเกต การทดลองอย่างง่าย การอธิบายผล และการเชื่อมโยงเหตุและผลจากประสบการณ์รอบตัวด้วยภาษาที่เหมาะสมกับวัย
4. การพัฒนาแผน (Development) หมายถึง กระบวนการศึกษาข้อมูล วิเคราะห์บริบท ออกแบบ และปรับปรุงแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาทักษะและพัฒนาการของเด็กปฐมวัย
5. ความสามารถในการบริหารจัดการตนเอง (Executive Function EF) หมายถึง ความสามารถของเด็กในการควบคุมอารมณ์ การจดจ่อ การยับยั้งชั่งใจ การวางแผน และการปฏิบัติตามข้อตกลง ซึ่งเป็นฐานสำคัญของการเรียนรู้และการใช้เหตุผล (Diamond, 2016)
6. การเรียนรู้โดยการลงมือกระทำ (Active Learning) หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ที่เด็กมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้น ผ่านการลงมือปฏิบัติ ทดลอง สำรวจ และเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง โดยครูทำหน้าที่เป็นผู้เอื้ออำนวยการเรียนรู้
6. วิธีการประเมินผล
6.1 เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน
เครื่องมือที่ใช้คือ แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ตามสภาพจริง มีรายการประเมิน 5 ด้าน ดังนี้
1. การตั้งคำถาม เด็กแสดงความสงสัยและตั้งคำถามเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ได้
2. การคาดคะเน (การตั้งสมมติฐาน) เด็กให้เหตุผลหรือคาดเดาผลลัพธ์ล่วงหน้าโดยอาศัยประสบการณ์เดิม
3. การสังเกต เด็กใช้ประสาทสัมผัสและเครื่องมืออย่างง่ายเพื่อเก็บข้อมูลรายละเอียดของวัตถุหรือเหตุการณ์
4. การอธิบายเหตุผล เด็กสามารถบอกความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลของสิ่งที่พบเห็นหรือทดลองได้
5. การสรุปและสื่อสารผลการสืบเสาะ เด็กสรุปผลการสืบเสาะและสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจด้วยวิธีการที่หลากหลาย (การพูด การเล่าเรื่อง, การภาพวาด, การแสดงท่าทาง)
6.2 เกณฑ์การให้คะแนนและระดับคุณภาพ (Rubric Score)
การประเมินใช้การสังเกตพฤติกรรมตามสภาพจริงเป็นรายบุคคล โดยมีเกณฑ์ 3 ระดับ
ตารางที่ 2 เกณฑ์การให้คะแนนและระดับคุณภาพ
ระดับคะแนน ระดับคุณภาพ ความหมาย (พฤติกรรมที่แสดงออก)
3 คะแนน ดีมาก เด็กแสดงพฤติกรรมได้สม่ำเสมอ ชัดเจน สามารถอธิบายเหตุผลหรือการสังเกตได้ด้วยตนเองอย่างเหมาะสมกับวัย
2 คะแนน พอใช้ เด็กแสดงพฤติกรรมได้บ้าง แต่ยังต้องการคำชี้แนะหรือการกระตุ้นจากครู
1 คะแนน ควรเสริม เด็กยังไม่แสดงพฤติกรรมหรือแสดงได้น้อย ต้องได้รับการส่งเสริมเพิ่มเติม
6.3 ตารางสรุปผลการประเมินนักเรียน (จำนวน 12 คน)
ตารางที่ 3 ตารางสรุปผลการประเมินนักเรียน
รายการประเมินทักษะฯ
(5 ด้าน) รวมคะแนนสูงสุด
(12 คน x 3) คะแนนที่ได้จริง ร้อยละ (%) แปลความหมาย
1. การตั้งคำถาม 36 32 88.89 ดีมาก
2. การคาดคะเน 36 34 94.44 ดีมาก
3. การสังเกต 36 32 88.89 ดีมาก
4. การอธิบายเหตุผล 36 30 83.33
ดีมาก
5. การสรุปและสื่อสารผลการสืบเสาะ 36 31 86.11 ดีมาก
รวมเฉลี่ยทุกด้าน 180 160 87.36 ดีมาก
การแปลผลค่าร้อยละ
ร้อยละ 80 - 100 พัฒนาการอยู่ในระดับ ดีมาก (บรรลุตามเป้าหมายเชิงปริมาณ)
ร้อยละ 60 - 79 พัฒนาการอยู่ในระดับ ดี
ร้อยละ 40 - 59 พัฒนาการอยู่ในระดับ พอใช้
ต่ำกว่าร้อยละ 40 พัฒนาการอยู่ในระดับ ควรเสริม
6.4 บทสรุปการประเมินและวิเคราะห์ผล
จากการประเมินทักษะการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ของเด็กชั้นอนุบาล 2 จำนวน 12 คน ด้วยแบบสังเกตพฤติกรรมตามสภาพจริง พบว่าผลการดำเนินงานนวัตกรรม "ระบบนิเวศการเรียนรู้แบบ Hybrid ตาม DEAIR Model" ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยคะแนนเฉลี่ยรวมทุกด้านอยู่ที่ร้อยละ 87.36 ซึ่งหมายความว่านักเรียนส่วนใหญ่มีพัฒนาการอยู่ในระดับ "ดีมาก" และสามารถบรรลุเป้าหมายเชิงปริมาณที่ตั้งไว้
การวิเคราะห์รายด้าน
1. ด้านการอธิบาย (83.33%) เป็นด้านที่ได้คะแนนต่ำที่สุดในกลุ่ม "ดีมาก" และผ่านเกณฑ์เป้าหมายที่ตั้งไว้ (ร้อยละ 80) แต่เมื่อเปรียบเทียบกับด้านอื่น ๆ พบว่าเป็นด้านที่มีค่าคะแนนต่ำที่สุดในกลุ่มรายด้านระดับดีมาก บ่งชี้ว่าทักษะการอธิบายเหตุผลในเด็กอายุ 4-5 ปี (อนุบาล 2) เป็นทักษะที่ต้องอาศัยการเชื่อมโยงระหว่าง "สิ่งที่สังเกตเห็น" กับ "คลังคำศัพท์ในสมอง" เพื่อสื่อสารออกมาเป็นประโยคที่สมบูรณ์ตามหลักเหตุและผล จากการสังเกตพฤติกรรมพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีความเข้าใจในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น (Cognitive Understanding) แต่บางส่วนยังติดขัดในเรื่องการเลือกใช้คำพูดเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ (Verbal Communication) เช่น การใช้คำเชื่อม "เพราะว่า..." หรือ "เนื่องจาก..." ซึ่งเป็นไปตามระดับพัฒนาการทางภาษาที่กำลังเติบโตควบคู่ไปกับทักษะทางสติปัญญา
2. ด้านการสรุปและสื่อสารผลการสืบเสาะ (86.11%) อยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก เกิดจากการที่เด็กได้มีโอกาสทบทวนและสะท้อนคิด Review (R) ผ่านการสื่อสารในรูปแบบที่ตนเองถนัด ทั้งการพูดคุยในห้องเรียนและการสื่อสารกับผู้ปกครอง
3. ด้านการตั้งคำถาม (88.89%) และการสังเกต (94.44%) อยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกิจกรรม Active Learning (A) และสื่อ Hybrid ที่หลากหลาย ซึ่งกระตุ้นให้เด็กใช้ประสาทสัมผัสในการเก็บข้อมูลรายละเอียดได้หลากหลายและค่อนข้างมีความแม่นยำ
4. ด้านการคาดคะเน (94.44%) ได้คะแนนสูงสุด อยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก สะท้อนถึงการพัฒนาทักษะสมอง Executive Function (E) ของเด็กที่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลได้ดีขึ้นกว่าก่อนใช้นวัตกรรม
โดยสรุป ผลการประเมินยืนยันว่านวัตกรรมนี้ช่วยให้เด็กอนุบาล 2 มีความพร้อมด้านสมรรถนะที่สำคัญตามหลักสูตร พ.ศ. 2568 โดยเฉพาะความสามารถในการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เด็กมีความสนใจใฝ่รู้และมีทัศนคติเชิงบวกต่อการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม
7. ประโยชน์ที่เกิดจากนวัตกรรม
1. ต่อผู้เรียน เด็กปฐมวัยได้รับการพัฒนาทักษะ Executive Function (EF) อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการยืดหยุ่นความคิด (Cognitive Flexibility) และการจดจ่อ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของทักษะในศตวรรษที่ 21 เด็กไม่ได้เพียงแค่ "จำ" วิทยาศาสตร์ แต่ "เข้าใจ" กระบวนการหาความจริง ทำให้มีความมั่นใจในตนเอง (Self-Esteem) สูงขึ้น
2. ต่อครูผู้สอน ครูเปลี่ยนบทบาทจากผู้สอน (Instructor) เป็น Learning Facilitator และผู้ออกแบบระบบนิเวศการเรียนรู้ (Learning Designer) ช่วยยกระดับวิทยฐานะตามเกณฑ์ PA พ.ศ. 2568 และสร้างองค์ความรู้ใหม่ในการใช้เทคโนโลยีแบบ Hybrid ที่ปลอดภัยสำหรับเด็กปฐมวัย
ต่อสถาบันครอบครัว นวัตกรรมนี้สร้างความเข้มแข็งให้แก่ "ระบบนิเวศการเรียนรู้" โดยให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมผ่านช่องทาง Hybrid ทำให้พ่อแม่เข้าใจพัฒนาการของลูกและมีทักษะในการกระตุ้นการคิดของลูกที่บ้านอย่างถูกวิธี
3. ต่อสถานศึกษาและวงการวิชาการ เป็นโมเดลต้นแบบการจัดการศึกษาปฐมวัยตามหลักสูตร พ.ศ. 2568 ที่บูรณาการระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และทักษะสมอง (EF) ซึ่งสามารถนำไปขยายผลในระดับชั้นอื่นหรือโรงเรียนใกล้เคียง เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาปฐมวัยในภาพรวม
8. ผลสำเร็จของการดำเนินงาน
การดำเนินงานพัฒนานวัตกรรม ระบบนิเวศการเรียนรู้แบบ Hybrid ตาม DEAIR Model ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีรากฐานมาจากความสำเร็จในการใช้นวัตกรรม DER Model (D-Development, E-Exercise/Engagement, R-Review) ที่ข้าพเจ้าได้ริเริ่มและพัฒนาขึ้นเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กของนักเรียนชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนบ้านดงซ่อม ในปีการศึกษา 2566 และ 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งมีรายละเอียดความสำเร็จดังนี้
8.1 การต่อยอดจากฐานทุนเดิมสู่ทักษะแห่งอนาคต (From DER to DEAIR)
จากการใช้รูปแบบ DER Model ในปี 2566-2567 ข้าพเจ้าพบว่าจุดแข็งของนวัตกรรมเดิมคือการที่เด็กได้รับการพัฒนาทักษะทางกายภาพ (Physical Skill) ผ่านการทำกิจกรรมที่ต่อเนื่องและการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งผลสำเร็จในขณะนั้นส่งผลให้เด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านดงซ่อมมีทักษะการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือและตาในระดับดีเยี่ยม
ในปีการศึกษา 2568 ข้าพเจ้าจึงได้ยกระดับนวัตกรรมโดยเพิ่มตัวแปร A (Active Learning) และ I (Inquiry Cycle) เพื่อปรับจากการเน้นเพียงทักษะทางกายภาพ มาเป็นการส่งเสริม ทักษะการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นสมรรถนะหลักในหลักสูตร พ.ศ. 2568 โดยใช้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดเล็กที่เด็กมีอยู่แล้ว มาเป็นเครื่องมือในการลงมือทดลองและประดิษฐ์นวัตกรรมตัวน้อยผ่านระบบนิเวศแบบ Hybrid
8.2 ผลสำเร็จเชิงประจักษ์
ด้านผู้เรียน (Student Success)
นักเรียนชั้นอนุบาล 2 จำนวน 12 คน มีคะแนนเฉลี่ยทักษะการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์สูงถึงร้อยละ 87.36 (ระดับดีมาก) บรรลุตามค่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
เด็กมีทักษะ Executive Function (EF) เพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะการยืดหยุ่นความคิด (Cognitive Flexibility) ซึ่งต่อยอดจากการทำกิจกรรมซ้ำๆ ในรูปแบบเดิม (DER) มาเป็นการคิดแก้ปัญหาใหม่ๆ ในรูปแบบ DEAIR เกิดพฤติกรรม "นักสำรวจตัวน้อย" ที่มีความสุขกับการเรียนรู้ทั้งในโรงเรียนและที่บ้านผ่านระบบ Hybrid
ด้านครูผู้สอน (Teacher Success)
ข้าพเจ้าสามารถพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความท้าทายใหม่ของหลักสูตร พ.ศ. 2568 ได้อย่างรวดเร็ว โดยอาศัยโครงสร้างความสำเร็จเดิมจากโรงเรียนบ้านดงซ่อม เป็นการแสดงถึงสมรรถนะในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม (R&D) ของครูวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ สามารถบริหารจัดการ "ระบบนิเวศการเรียนรู้" ที่เชื่อมโยงสื่อดิจิทัลและสื่อธรรมชาติได้อย่างสมดุล
ด้านสถานศึกษาและชุมชน (Institutional & Community Success)
โรงเรียนบ้านดงซ่อมได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ปกครองเพิ่มขึ้น โดยร้อยละ 90 ของผู้ปกครองมีความพึงพอใจและมีส่วนร่วมในการประเมินผลผ่านระบบ Hybrid อย่างสม่ำเสมอ เกิดวัฒนธรรมการเรียนรู้ใหม่ที่เปลี่ยน "บ้าน" ให้เป็น "ห้องแล็บวิจัยตัวน้อย" โดยมีผู้ปกครองเป็นผู้ช่วยนักวิจัยร่วมกับเด็ก
8.3 สรุปบทเรียนความสำเร็จ (Lesson Learned)
ความสำเร็จในปี 2568 นี้ พิสูจน์ให้เห็นว่า กระบวนการพัฒนา (Development) ที่แข็งแรง และ การทบทวน (Review) ที่สร้างสรรค์ ซึ่งเป็นหัวใจของ DER Model เดิม เมื่อถูกผนวกเข้ากับ การสืบเสาะ (Inquiry) และ การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ในรูปแบบ Hybrid จะสร้างพลังทวีคูณ (Synergy) ที่ไม่เพียงแต่ทำให้เด็กมีสุขภาพกาย (มัดเล็ก) ที่ดี แต่ยังมี "สุขภาพคิด" (การใช้เหตุผล) ที่เฉลียวฉลาด สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2568 ที่มุ่งพัฒนาเด็กอย่างสมดุลและรอบด้าน
9. แนวทางการต่อยอดและพัฒนานวัตกรรมการศึกษา
การพัฒนานวัตกรรม "ระบบนิเวศการเรียนรู้แบบ Hybrid ตาม DEAIR Model" ไม่ได้สิ้นสุดเพียงแค่การบรรลุเป้าหมายในปีการศึกษา 2568 แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวทางการต่อยอดในอนาคตดังนี้
1. การขยายผลสู่ระดับชั้นอื่น มีแผนการนำรูปแบบ DEAIR Model ไปปรับใช้กับระดับชั้นอนุบาล 3 (อายุ 5-6 ปี) เพื่อพัฒนาทักษะการใช้เหตุผลที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น การบันทึกข้อมูลเชิงปริมาณเบื้องต้น ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมเชื่อมโยงสู่หลักสูตรประถมศึกษาปีที่ 1 ต่อไป (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2561 35)
2. การบูรณาการข้ามสาระการเรียนรู้ ต่อ ยอดจากการเน้นวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว ไปสู่การบูรณาการกับสาระอื่น เช่น คณิตศาสตร์ (การนับจำนวน การเปรียบเทียบ) และภาษา (การอ่านและเขียนรายงานอย่างง่าย) โดยใช้แนวคิด STEM Education สำหรับเด็กปฐมวัย (สสวท., 2562 45) เพื่อให้การเรียนรู้มีความหมายและเป็นองค์รวมมากขึ้น
3. การพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลเฉพาะทาง พัฒนาแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ออกแบบมาเพื่อ DEAIR Model โดยเฉพาะ เพื่อให้การจัดเก็บข้อมูลการสังเกตพฤติกรรมของเด็กและการสื่อสารระหว่างครู-ผู้ปกครองมีความสะดวก รวดเร็ว และเป็นระบบมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับแนวทางการจัดการศึกษาในยุคดิจิทัล (ถนอมพร เลาหจรัสแสง, 2561 80)
4. การสร้างเครือข่ายชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) จัดตั้งกลุ่ม PLC ภายในโรงเรียนและขยายสู่เครือข่ายโรงเรียนบ้านดงซ่อม เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ในการใช้ DEAIR Model เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและครอบคลุมทั่วทั้งสถานศึกษา ตามนโยบายการพัฒนาคุณภาพครูของกระทรวงศึกษาธิการ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2562 10)
10. การเผยแพร่นวัตกรรมการศึกษา
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อวงการศึกษาปฐมวัย ข้าพเจ้าได้ดำเนินการเผยแพร่นวัตกรรม ระบบนิเวศการเรียนรู้แบบ Hybrid ตาม DEAIR Model ดังนี้
1. เผยแพร่ผ่านช่องทางดิจิทัล OBEC Content Center
2. เผยแพร่ผ่านชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC)
3. จัดทำรายงานนวัตกรรมและเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ของสถานศึกษา