การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) พัฒนาและประเมินประสิทธิภาพรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 และ 2) ประเมินประสิทธิผลรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 จำนวน 30 คน ที่ศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนจุมจังพลังราษฎร์ สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน คู่มือการใช้รูปแบบ หน่วยและแผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน วิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาค่าสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาค่าทีแบบไม่อิสระ (t-test for dependent samples) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)

ผลการวิจัย พบว่า

1. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีชื่อว่า “WASANA Model” มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการ การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการคิดวิเคราะห์ โดยนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาการจัดการเรียนรู้ ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ผ่านสื่อและเทคโนโลยีตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) โดยให้นักเรียน“เรียนที่บ้าน-ทำการบ้านที่โรงเรียน”เป็นการเรียนรู้แบบผสมผสาน โดยมีครูทำหน้าที่แนะนำ ช่วยเหลือ สนับสนุน สามารถนำการจัดการเรียนรู้ตามความแตกต่างของผู้เรียน 2) วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 3) เงื่อนไขการเรียนรู้ ประกอบด้วย (1) ผู้เรียนมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (2) ผู้เรียนต้องมีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ มีวินัยในการเรียนรู้ (3) มีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ 4) กระบวนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 6 ขั้น คือ (1) กระตุ้นเพื่อเข้าใจ (Warm up) (2) วิเคราะห์หาสาเหตุ (Analysis) (3) ศึกษาค้นคว้า (Searching) (4) ปฏิบัติและอภิปราย (Action and Discussion) (5) บันทึกและสรุป (Note and Conclusion) (6) ประยุกต์ใช้และนำเสนอ (Apply and Present) 5) การวัดและประเมินผล 2 ด้าน คือ ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และ โดยพบว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน มีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.25/81.67

2. ประสิทธิผลของรูปแบบพบว่า 2.1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน สูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2.2) ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน สูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 2.3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก

เว็บน่าสนใจ