ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทักษะกลุ่มและเจตคติต่อวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนสารคดี โดยรูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี ๓ ฉะเชิงเทรา

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทักษะกลุ่มและเจตคติต่อวิชาภาษาไทย

เรื่องการเขียนสารคดี โดยรูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL)

สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี ๓ ฉะเชิงเทรา

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเรื่อง การเขียนสารคดี (2) เพื่อให้ผู้เรียนทีทักษะและกระบวนการการทำงานเป็นกลุ่ม (3) เพื่อให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิชาภาษาไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3-5/4 โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี ๓ ฉะเชิงเทรา อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 80 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย (1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA MODEL) เรื่องการเขียนสารคดี ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี ๓ ฉะเชิงเทราจำนวน 10 แผน (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ใช้ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ (3) แบบประเมินทักษะและกระบวนการการทำงานเป็นกลุ่ม ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และ (4) แบบวัดความพึงของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี ๓ ฉะเชิงเทรา ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA MODEL) เรื่องการเขียนสารคดี จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบที (t–test)

ผลการวิจัยพบว่า

1) ผลการทดสอบก่อนดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่องการเขียนสารคดี พบว่านักเรียนกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 21.40 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.43 และนักเรียนกลุ่มควบคุมมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 14.26 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.70 ค่าสถิติแสดงการเปรียบเทียบของทั้งสองกลุ่มมีค่าเท่ากับ 9.84 มีนัยสำคัญทางสถิติทางสถิติที่ระดับ 0.000 แสดงว่านักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีระดับความรู้ความสามารถพื้นฐานทางวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนสารคดี อยู่ในระดับแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แต่หลังจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) พบว่านักเรียนกลุ่มทดลองมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยอยู่ที่ 30.00 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.16 ซึ่งสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมที่มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยอยู่ที่ 19.63 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 6.25 ค่าสถิติแสดงการเปรียบเทียบของทั้งสองกลุ่มมีค่าเท่ากับ 8.25 มีนัยสำคัญทางสถิติทางสถิติที่ระดับ 0.000 เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) เป็นกิจกรรมที่ทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งสอดคล้องตามแนวคิดทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivist Theory) โดยบทบาทของครูผู้สอนในห้องเรียนตามแนวคิดเพียเจต์ คือ การจัดเตรียมสิ่งแวดล้อมที่ให้ผู้เรียนได้สำรวจ ค้นหาตามธรรมชาติห้องเรียนควรเติมสิ่งที่น่าสนใจที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเองอย่างตื่นตัวโดยการขยายสกีมาผ่านทางประสบการณ์ด้วยวิธีการดูดซึม (Assimilation) และการปรับเปลี่ยน (Accommodation) ซึ่งเชื่อว่า การเรียนรู้เกิดจากการปรับเข้าสู่สภาวะสมดุล (Equilibrium) ระหว่างอินทรีย์และสิ่งแวดล้อม โดยมีกระบวนการ คือการดูดซึมเข้าสู่โครงสร้างทางปัญญา (Assimilation) เป็นการตีความ หรือรับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมมาปรับเข้ากับโครงสร้างทางปัญญา และการปรับโครงสร้างทางปัญญา (Accommodation) เป็นความสามารถในการปรับโครงสร้างทางปัญญาให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม โดยการเชื่อมโยงระหว่างความรู้เดิมและสิ่งที่ต้องเรียนใหม่ ผู้เรียนจะพัฒนาในกลุ่มของสังคมที่จัดขึ้น การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมควรจะเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกันมากกว่าที่จะแยกผู้เรียนจากคนอื่นๆ ครูตามแนวคิดกลุ่มคอนสตรัคติวิสต์ ควรจะสร้างบริบทสำหรับการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถได้รับการส่งเสริมในกิจกรรมที่น่าสนใจซึ่งกระตุ้นและเอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้แทนที่ครูผู้สอนที่เข้ามาสู่กิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับผู้เรียน ไม่ใช่เข้ามายืนมองเด็กสำรวจและค้นพบเท่านั้น แต่ครูควรแนะนำเมื่อผู้เรียนประสบปัญหา กระตุ้นให้ผู้เรียนปฏิบัติงานในกลุ่มในการที่จะคิดพิจารณาประเด็นคำถาม และสนับสนุนด้วยการกระตุ้น แนะนำ ให้พวกเขาต่อสู้กับปัญหา และเกิดความท้าทาย และนั่นเป็นรากฐานของสถานการณ์ในชีวิตจริง (Real life situation) ที่จะทำให้ผู้เรียน เกิดความสนใจ และได้รับความพึงพอใจในผลของงานที่พวกเขาได้ลงมือกระทำ ดังนั้น ครูจะคอยช่วยเอื้อให้ผู้เรียนเกิดความเจริญทางด้านสติปัญญา (Cognitive growth) และการเรียนรู้ในทุกชั้นเรียนซึ่งกลยุทธ์ทางเรียนรู้ที่สอดคล้องกับแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์เชิงสังคของวีกอทสกี (Vygotsky) ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ชัญญานุช ศรีชุม (2548) ที่ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา เรื่อง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา โมเดล เรื่อง การเขียนเชิงสร้างสรรค์วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 81.30/84.06 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์และนักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 71.97 และสอดคล้องกับแนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA MODEL) ของทิศนา แขมมณี (2542) ที่กล่าวไว้ว่า กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Construct) ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายต่อตนเอง จะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ทางสังคมกับบุคคล และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม ให้ผู้เรียนมีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกาย (Physical Participation) โดยการทำกิจกรรมในลักษณะต่างๆ ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางกาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ (Process Learning) ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม กระบวนการพัฒนาตนเอง เป็นต้น และการนำความรู้ที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ (Application) ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการเรียนและช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ความเข้าใจของตนเองไปใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ ที่หลากหลายได้

2) ผลการประเมินทักษะกระบวนกลุ่มของนักเรียนกลุ่มทดลองที่เรียนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่องการเขียนสารคดี พบว่ากลุ่มทดลองมีทักษะกระบวนการกลุ่มมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 14.54 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.24 อยู่ในระดับดีเยี่ยม ซึ่งคะแนนประเมินทักษะกระบวนการกลุ่มของนักเรียนกลุ่มทดลองนั้นขึ้นอยู่กับคะแนนทดสอบของกลุ่มและคะแนนทดสอบเป็นรายบุคคลของสมาชิกภายในกลุ่มแต่ละคน โดยสมาชิกทุกคนต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น แสดงให้เห็นว่าคะแนนของแต่ละกลุ่มจะดีได้ต้องอาศัยความร่วมมือซึ่งกันและกันของสมาชิกทุกคนภายในกลุ่ม ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีสนาม (Field Theory) ของ Kurt Lewin (1947 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2551) ได้กล่าวว่าสมาชิกภายในกลุ่มจะมีการปรับตัวเข้าหากันและพยายามช่วยกันทำงานก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและทำให้เกิดพลังที่จะทำให้การทำงานกลุ่มเป็นไปด้วยดี และหลักการของสุวิทย์ มูลคำ และคณะ (2552) กล่าวว่า หลักการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการกลุ่มเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้รับความรู้จากการลงมือร่วมกันปฏิบัติ เป็นกลุ่ม กลุ่มจะมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของสมาชิกแต่ละคนและสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม ก็มีอิทธิพลและปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกัน ให้นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มมากที่สุด จนสามารถค้นพบและสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเอง

3) ผลการเปรียบเจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนสารคดี ของนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม พบว่านักเรียนกลุ่มทดลองมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิชาภาษาไทย อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.83 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.28 สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่มีเจตคติต่อ การเรียนเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ที่มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.37 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.08 เนื่องจากขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) นักเรียนจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการฝึกทักษะตามเรื่องที่ได้เรียน สมาชิกในกลุ่มทุกคนจะช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่เพื่อให้งานกลุ่มประสบผลสำเร็จและได้รับรางวัลจากครูเป็นรางวัลการพัฒนาการ ซึ่งก็คือกลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดและมีคะแนนมากกว่าครั้งที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการร่วมมือกันทำงานให้สำเร็จไม่ว่าสมาชิกไม่ว่าจะเป็นนักเรียนที่เรียนเก่ง เรียนปานกลาง หรือเรียนอ่อน ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีการวางเงื่อนไขของสกินเนอร์ (1938) ที่กล่าวว่าการจัดการเรียนการสอนที่ดีควรมีการเสริมแรงหลังจากที่ผู้เรียนเกิดการตอบสนองที่เหมาะสม เช่น การชมเชย การให้รางวัล ผลความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่องการเขียนสารคดี อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.76 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.06 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เน้นให้นักเรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเองโดยอาศัยทักษะกระบวนการกลุ่มที่นักเรียนแต่ละกลุ่มมีความสามารถที่แตกต่างกันร่วมมือกันทำงาน โดยมีการให้รางวัลการพัฒนาการเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนร่วมมือกันทำงานเพื่อให้งานประสบผลสำเร็จตามที่ต้องการ นักเรียนมีความสนุกสนานในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ สอดคล้องกับวิจัยของ ปทิตตา ไชยทิพย์ และคณะ (2553) ได้ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) พบว่าโดยภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมทุกขั้นตอนด้วยความเป็นอิสระไม่เคร่งเครียด โดยมีครูคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ให้การเสริมแรง ทำให้ครูผู้สอนและนักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ขณะจัดกิจกรรมและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ทำให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นและสนุกสนานกับการเรียน ซึ่งได้ทั้งความรู้และประสบการณ์การเรียนรู้ส่งผลให้นักเรียนกล้าคิด กล้าแสดงออก ทำให้นักเรียนมีความมั่นใจในการพัฒนาทักษะการเขียนและสามารถเขียนเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

โพสต์โดย Kru_Kru : [16 ม.ค. 2565 เวลา 12:48 น.]
อ่าน [2119] ไอพี : 223.204.233.154
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 13,415 ครั้ง
แสงสว่างของหิ่งห้อยมาจากไหน
แสงสว่างของหิ่งห้อยมาจากไหน

เปิดอ่าน 56,543 ครั้ง
โลกนี้มีกี่ภาษา
โลกนี้มีกี่ภาษา

เปิดอ่าน 19,562 ครั้ง
เกณฑ์สอบผู้บริหารสถานศึกษา ปี 2555 (ว7-ว8)
เกณฑ์สอบผู้บริหารสถานศึกษา ปี 2555 (ว7-ว8)

เปิดอ่าน 16,784 ครั้ง
มังคุดคัด
มังคุดคัด

เปิดอ่าน 30,771 ครั้ง
การประเมินผลการเรียนโดยการสัมภาษณ์
การประเมินผลการเรียนโดยการสัมภาษณ์

เปิดอ่าน 17,413 ครั้ง
เทคนิคไร้สาระกะอีเบย์ 6 ใช้ google เพื่อช่วยยกระดับภาษาอังกฤษ
เทคนิคไร้สาระกะอีเบย์ 6 ใช้ google เพื่อช่วยยกระดับภาษาอังกฤษ

เปิดอ่าน 27,466 ครั้ง
ข้อเสนอเชิงนโยบายการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (2553)
ข้อเสนอเชิงนโยบายการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (2553)

เปิดอ่าน 87,295 ครั้ง
โคลงโลกนิติ
โคลงโลกนิติ

เปิดอ่าน 15,977 ครั้ง
รวม 10 อันดับขับรถสุดเห่ย ขอให้มีสตินะครับ
รวม 10 อันดับขับรถสุดเห่ย ขอให้มีสตินะครับ

เปิดอ่าน 20,034 ครั้ง
สรรพคุณทางยาของ "ผักหวานบ้าน"
สรรพคุณทางยาของ "ผักหวานบ้าน"

เปิดอ่าน 28,786 ครั้ง
ชมกันหรือยัง? เทคนิคการสอน ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom)
ชมกันหรือยัง? เทคนิคการสอน ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom)

เปิดอ่าน 19,730 ครั้ง
ตามไปดูการศึกษานอกหลักสูตร : จับตามองครูในศตวรรษที่ 21 "ครูหัวใจสะเต็ม"
ตามไปดูการศึกษานอกหลักสูตร : จับตามองครูในศตวรรษที่ 21 "ครูหัวใจสะเต็ม"

เปิดอ่าน 9,948 ครั้ง
ตรวจสอบคุณภาพยางรถ
ตรวจสอบคุณภาพยางรถ

เปิดอ่าน 10,678 ครั้ง
คุณสมบัติของ คนที่ประสบความสำเร็จ (จบ)
คุณสมบัติของ คนที่ประสบความสำเร็จ (จบ)

เปิดอ่าน 138,032 ครั้ง
รุ่นต่างๆ ของมวยสากลสมัครเล่น
รุ่นต่างๆ ของมวยสากลสมัครเล่น

เปิดอ่าน 13,099 ครั้ง
"ถั่ว" ยาต้านมะเร็งตับอ่อน
"ถั่ว" ยาต้านมะเร็งตับอ่อน
เปิดอ่าน 48,838 ครั้ง
ทฤษฎีบทขิองปิทาโกรัส
ทฤษฎีบทขิองปิทาโกรัส
เปิดอ่าน 451,791 ครั้ง
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับสมบูรณ์(4 สี)
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับสมบูรณ์(4 สี)
เปิดอ่าน 14,234 ครั้ง
ลายมืออัจฉริยะผู้นำ เป็นอย่างไร?
ลายมืออัจฉริยะผู้นำ เป็นอย่างไร?
เปิดอ่าน 15,766 ครั้ง
ระวัง! ท่านอาจจะทำร้ายสมองลูกโดยไม่รู้ตัว
ระวัง! ท่านอาจจะทำร้ายสมองลูกโดยไม่รู้ตัว

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ