ชื่อเรื่อง การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะตีมศึกษา (STEAM Education) แบบวัฏจักร
การเรียนรู้ 7 ขั้น (7Es) เรื่อง การแยกสารและการนำไปใช้ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิด
สร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ผู้ศึกษา นางนันทิยา ลือโสภา ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ
โรงเรียนผักแพววิทยา อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ
ปีการศึกษา 2563
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการสร้างและพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะตีมศึกษา (STEAM Education) แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7Es) เรื่อง การแยกสารและการนำไปใช้ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดสร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2) เพื่อร้างและพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะตีมศึกษา (STEAM Education) แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7Es) เรื่อง การแยกสารและการนำไปใช้ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิด สร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 3) เพื่อศึกษาผลการทดลองใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะตีมศึกษา (STEAM Education) แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7Es) เรื่อง การแยกสารและการนำไปใช้ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดสร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 4) เพื่อประเมินผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะตีมศึกษา (STEAM Education) แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7Es) เรื่อง การแยกสารและการนำไปใช้ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดสร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7Es) ที่บูรณาการร่วมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษา (STEAM Education) ประกอบชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนและหลังเรียนจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะตีมศึกษา (STEAM Education) แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7Es) เรื่อง การแยกสารและการนำไปใช้ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดสร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะตีมศึกษา (STEAM Education) แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7Es) เรื่อง การแยกสารและการนำไปใช้ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดสร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยกลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนผักแพววิทยา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ปีการศึกษา 2563 จำนวน 24 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Sample Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้สะตีมศึกษา (STEAM Education) แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7Es) จำนวน 5 แผน เรื่อง การแยกสารและการนำไปใช้ 2) ชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้สะตีมศึกษา (STEAM Education) แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7Es) เรื่อง การแยกสารและการนำไปใช้ จำนวน 5 เล่ม 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 4) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะตีมศึกษา (STEAM Education) แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7Es) เรื่อง การแยกสารและการนำไปใช้ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดสร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที t- test (Dependent Samples) และการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1. จากการศึกษาข้อมูลพื้นฐานการสร้างและพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะตีมศึกษา (STEAM Education) แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7Es) เรื่อง การแยกสารและการนำไปใช้ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิด
สร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่าโรงเรียนมีความพร้อมด้านบริบทของโรงเรียนใน อยู่ในระดับมากที่สุด
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยวิธีพรรณนาวิเคราะห์ เกี่ยวกับความพร้อมของบริบทโรงเรียน ในการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะตีมศึกษา (STEAM Education) แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7Es) เรื่อง การแยกสารและการนำไปใช้ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดสร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยรวมเฉลี่ยผู้บริหาร ครูผู้สอน เห็นว่า มีความพร้อมด้านบริบทในการจัดการเรียนการสอนแนวใหม่ที่เน้นพัฒนาตามแนวคิดสะตีมศึกษา (STEAM Education) แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7Es) เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุง 2560 ในหลักสูตรได้กำหนดแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญโดยเฉพาะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการความคิดสร้างสรรค์และสร้างนวัตกรรม ปัจจัยหลักที่สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษาทางด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ของนักเรียนไทย คือ คุณภาพของครูผู้สอน แนวทางการสอน ทรัพยากรในการจัดการเรียนการสอน พื้นฐานความรู้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างนักเรียนให้มีความสามารถด้านวิชาการเป็นที่ยอมรับทั่วทั้งโลกด้าน Science, Technology, Engineering, Mathematics และเพิ่ม Arts ความป็นมนุษย์เข้าไปการเรียนรู้วิชาศิลปะร่วมกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ในลักษณะเชื่อมโยงกันทุกวิชาเข้าด้วยกันจะทำให้นักเรียนมีความคิดแบบองค์รวม (Holistic Way) คิดนอกกรอบ มีมุมมองใหม่มีความคิดการแก้ปัญหาใหม่ๆ ทำให้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการศึกษาในศตวรรษที่ 21
2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีชื่อว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะตีมศึกษา (STEAM Education) แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7Es) ซึ่งมีกระบวนการจัดการเรียนรู้ 7 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1) ทบทวน ชวนคิด 2) สงสัย สนใจ ใฝ่เรียนรู้ 3) เร่งเสาะหา ค้นคว้าหาคำตอบ 4) อภิปราย และสรุปผล 5) เพิ่มเติมเสริมความรู้ วางแผนแก้ปัญหา 6) ทดสอบประเมินผล 7) นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดสร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 แบบกลุ่มเล็ก มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 74.27/78.88 แบบภาคสนาม มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 81.42/82.42 และทำการทดลองจัดกิจการการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.70/81.53 เมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ 80/80 ปรากฏว่าสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะตีมศึกษา (STEAM Education) แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7Es) เรื่อง การแยกสารและการนำไปใช้ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิด
สร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะตีมศึกษา (STEAM Education) แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7Es) เรื่อง การแยกสารและการนำไปใช้ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดสร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีความพึงพอใจโดยรวมระดับมากที่สุด และมาความคิดเห็นว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะตีมศึกษา (STEAM Education) แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7Es) ทำให้นักเรียนเรียนวิทยาศาสตร์อย่างมีความสุข มีความเข้าใจมากขึ้น ได้สร้างสรรค์ผลงาน สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง