บทคัดย่อ
วัชรศักดิ์ สงค์ปาน. (2565). การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสู่ความเป็นเลิศของนักเรียนโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสู่ความเป็นเลิศของนักเรียนโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัยและมีวัตถุประสงค์เฉพาะดังนี้
1. เพื่อศึกษาสภาพ ปัญหาและความต้องการการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสู่ความเป็นเลิศของนักเรียนโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย
2. เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสู่ความเป็นเลิศของนักเรียนโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย
3. เพื่อนำรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสู่ความเป็นเลิศของนักเรียนโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัยไปใช้ในสภาพจริง
4. เพื่อประเมินผลการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสู่ความเป็นเลิศของนักเรียนโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย
โดยผู้วิจัยดำเนินการวิจัยโดยแบ่งเป็น 4 ตอนดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสภาพ ปัญหาและความต้องการการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสู่ความเป็นเลิศของนักเรียนโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย การดำเนินการวิจัยในขั้นตอนนี้ จำแนกออกเป็น 2 ส่วนดังนี้ ส่วนที่ 1 ศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสู่ความเป็นเลิศของนักเรียนโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัยส่วนที่ 2 ศึกษาสภาพ ปัญหา และความต้องการการพัฒนาการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสู่ความเป็นเลิศ การสนทนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ด้านการบริหารงานวิชาการที่ปฏิบัติการในโรงเรียนรวมทั้งหมด 10 คน ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสู่ความเป็นเลิศของนักเรียนโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย และตรวจสอบ ด้านความเหมาะสมและความเป็นไปโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 คน ขั้นตอนที่ 3 การนำรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสู่ความเป็นเลิศของนักเรียนโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัยไปใช้ในโรงเรียน และตรวจสอบความเป็นไปได้ของรูปแบบการบริหารงานวิชาการโดยคณะกรรมการบริหารหลักสูตรและงานวิชาการ จำนวน 20 คน ขั้นตอนที่ 4 ประเมินผลการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสู่ความเป็นเลิศของนักเรียนโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย ด้านเหมาะสม ความเป็นไปได้ และอรรถประโยชน์ โดยผู้บริหารและครูโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย จำนวน 114 คน เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนปีการศึกษา 2563 2564 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัย พบว่า
1. สภาพการดำเนินงานของโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย การพัฒนามุ่งเน้นการบรรลุผลในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและให้ความตระหนักในเป้าหมายทางการศึกษาที่ต้องให้ไปถึงโดยมุ่งเน้นให้นักเรียนเกิดทักษะการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริงและสามารถพัฒนาความเป็นเลิศได้อย่างเต็มตามศักยภาพบนพื้นฐานความแตกต่างระหว่างบุคคล มีจุดเน้นให้ครูผู้สอนจัดการจัดเรียนรู้ที่มุ่งเน้นนักเรียนเป็นสำคัญ สถานศึกษามีกระบวนการพัฒนาความเป็นเลิศนักเรียนด้านวิชาการอย่างหลากหลาย โดยจัดการเรียนการสอนตรงตามตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ปัญหากระบวนการจัดการเรียนการสอนของครูบางส่วนยังยึดรูปแบบการสอนแบบบรรยาย โดยครูเป็นผู้ถ่ายทอดเนื้อหาสาระวิชา ส่งผลให้นักเรียนยังขาดทักษะกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง รวมทั้งขาดความสนใจในการเรียนเนื่องด้วยเนื้อหาและกระบวนการเรียนการสอนไม่น่าสนใจ นอกจากนี้ทางด้านการวัดผล ประเมินผลยังคงใช้รูปแบบการทดสอบเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้ครูผู้สอนไม่สามารถวัด และประเมินผลนักเรียนได้อย่างรอบด้าน
ความต้องการในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้และการวัดประเมินผลของครูโดยการจัดอบรม พัฒนาสมรรถนะของการเป็นครูผู้สอนยุคใหม่ มุ่งเน้นให้ครูจัดการเรียนรู้ที่เน้นการนำความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะมาบูรณาการในการจัดการเรียนการสอน ส่งเสริมให้ครูจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) โดยให้ความสำคัญกับนักเรียน นักเรียนต้องได้รับการพัฒนาความรู้ ทักษะและคุณลักษณะที่จำเป็นและเพียงพอเพื่อนำมาสู่การประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆในชีวิตประจำวัน เปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ให้นักเรียนได้เรียนรู้จากการคิด ลงมือทำ สะท้อนคิด เน้นการปฏิบัติ ปรับปรุงและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
2. การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้สู่ความเป็นเลิศของนักเรียนโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย พบว่า ประกอบด้วย
1) ทฤษฎีพื้นฐานและหลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) ระบบงานและกลไกของรูปแบบ 4) วิธีการดำเนินงานของรูปแบบ สถานศึกษาต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยกระบวนการบริหาร PDCA 5) แนวการประเมินรูปแบบ 6) เงื่อนไขความสำเร็จ มี 3 องค์ประกอบหลัก คือ 1) ขอบข่ายการบริหารงานวิชาการ มี 6 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ และการวัด ประเมินผล การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา การพัฒนาสื่อ แหล่งเรียนรู้ นวัตกรรมและเทคโนโลยี การพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายใน 2) กระบวนการบริหารงานวิชาการ มี 4 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ การวางแผน การจัดองค์การ การนำ และ การควบคุม และ 3) ปัจจัยส่งเสริมการบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศ มี 6 องค์ประกอบย่อย ภาวะผู้นำของผู้บริหาร สมรรถนะครู การทำงานเป็นเครือข่าย เทคโนโลยีสารสนเทศ ความร่วมมือของผู้ปกครอง และวัฒนธรรมองค์การ ทั้ง 3 องค์ประกอบหลัก 16 องค์ประกอบย่อย ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา แล้วเห็นว่ามีความเหมาะสมและมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด และคู่มือการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้สู่ความเป็นเลิศของนักเรียนโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความเหมาะสม และมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด เช่นกัน
3. ผลการนำรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสู่ความเป็นเลิศของนักเรียนโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัยไปใช้ในสภาพจริง
ผลการใช้การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้สู่ความเป็นเลิศของนักเรียนโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย พบว่า โรงเรียนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี สามารถดำเนินการตามขั้นตอนในคู่มือการใช้รูปแบบ ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมดำเนินงานตามขั้นตอนสามารถ ทั้งการจัดประชุมเพื่อผลักดันรูปแบบสู่การปฏิบัติ ชี้แจงขั้นตอนการปฏิบัติให้ทุกฝ่ายเข้าใจ ระบุเป้าหมาย จัดทำแผนกลยุทธ์ ตัวชี้วัดกลยุทธ์ แผนปฏิบัติงาน โครงการกิจกรรมจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมาย โดยให้ความสำคัญกับสิ่งที่ต้องทำก่อน-หลัง กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบ จัดระบบข้อมูลสารสนเทศ จัดหาเครื่องมือเพื่อใช้ในการดำเนินงาน ติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล และวิเคราะห์ผลลัพธ์เป็นไป อย่างเป็นระบบและมีคุณภาพครอบคลุมทุกด้าน
4. ผลการประเมินผลการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสู่ความเป็นเลิศของนักเรียนโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย ผลการประเมินพบว่า รูปแบบมีคุณภาพอยู่ในระดับมากและมากที่สุดทุกด้าน รูปแบบได้รับการยอมรับอยู่ในระดับมากที่สุด และผลการประเมินรูปแบบ พบว่า รูปแบบมีคุณภาพด้านความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และอรรถประโยชน์ ทั้งโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 สูงว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในภาคเรียนที่ 1, 2 ปีการศึกษา 2563 และในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 และจะเห็นได้ว่า ร้อยละของผลการเรียนเฉลี่ยทุกรายวิชาของนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 3 และช่วงชั้นที่ 4 มีค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 86.47 และ 86.25 ตามลำดับ ซึ่งถือว่าผ่านเกณฑ์ที่ทางโรงเรียนกำหนด