ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
การนิเทศการศึกษาโดยใช้กระบวนการนิเทศรูปแบบ LOVE Model

การนิเทศการศึกษาโดยใช้กระบวนการนิเทศรูปแบบ LOVE Model

โรงเรียนสมนึกพิทยาได้ดำเนินการพัฒนาการนิเทศการศึกษาโดยใช้กระบวนการนิเทศรูปแบบ LOVE Model โดยโรงเรียนสมนึกพิทยาได้กำหนดแนวทางการพัฒนาตามกรอบแนวคิด การจัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้น Child centered Learning และกระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก Active learning ภายใต้กรอบการบริหารจัดการจาก SOMNUK Model (M = Mastery ) ที่สร้างให้ครูมีความเป็นมืออาชีพ สู่การพัฒนา Care Model ที่เป็นรูปแบบการบริหารที่เกิดจากกระบวนการมีส่วนร่วม มาเป็นกลไกหลัก ในการบริหารงานประกอบกับการใช้ทฤษฎีระบบ (system theory) ในการกำหนดรูปแบบการบริหารงาน ใช้กระบวนการวงจรคุณภาพ P-D-C-A ในการดูแล ควบคุม และกำกับติดตามการ ซึ่งเป็นการดำเนินงานที่เน้นการบุคลากรมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมวางแผน ร่วมทำงาน ร่วมชื่นชม และตกลงร่วมกันในการบริหารโรงเรียนให้บรรลุเป้าหมาย (Team) และนำสู่การปฏิบัติงานวิชาการการจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพของครูผู้สอน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการต่อยอดของการพัฒนางานอย่างเป็นระบบในการจัดการศึกษา จึงนำไปสู่ระบบการนิเทศในรูปแบบ LOVE Model ที่นำเอาความรัก ความเป็นกัลยาณมิตรมาใช้ในการขับเคลื่อนงานควบคู่ไปกับระบบวงจรคุณภาพเดมมิ่ง PDCA จากการสังเคราะห์เอกสารสามารถอธิบายที่มา ของกระบวนการนิเทศรูปแบบ LOVE Model ดังนี้

LOVE แปลว่า รัก หมายถึง รักหน้าที่ รักตนเอง รักเพื่อนร่วมงาน รักองค์กร เริ่มต้นจากการให้ใจ ใส่ใจและทำด้วยใจ การที่เริ่มต้นด้วยความรักและศรัทธาในตนเองและในวิชาชีพครู เพื่อเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ครูผู้สอนในการพัฒนาผู้เรียนอย่างเต็มศักยภาพ โดยมุ่งเน้นสนับสนุนให้ครูมีความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมการสอนที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของนักเรียน ซึ่งสอดคล้องกับ SOMNUK Model ที่มุ่งเน้นพัฒนาให้ครูเป็น ครูมืออาชีพ และจากแนวคิดที่ใช้ร่วมในการพัฒนารูปแบบการนิเทศที่เหมาะสมกับบริบทของทางโรงเรียนสมนึกพิทยา พบว่า ควรมีการนิเทศอย่างเป็นระบบโดยเริ่มต้นจากการทำงานด้วยใจรัก ระเบิดจากภายในสู่การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอจนก่อเกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ผ่านกระบวนการ PLC เพื่อดำเนินกิจกรรมโดยมีการมุ่งเน้นการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนที่เน้นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ร่วมกันกับการร่วมปฏิบัติและการนิเทศที่เป็นกัลยาณมิตรต่อกันโดยใช้แนวคิดการสอนแบบชี้แนะและระบบพี่เลี้ยงมาใช้ในการนิเทศครูผู้สอน โดยใช้การนิเทศภายในโดยใช้ห้องเรียนเป็นฐานเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน เป็นการนิเทศเพื่อพัฒนา คุณภาพการศึกษาของโรงเรียนโดยเน้นการบูรณาการ งาน/โครงการต่าง ๆ ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) การจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อเทคโนโลยีทางไกล (DLTV/DLIT) การอ่านออกเขียนได้การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และการประกันคุณภาพการศึกษา ซึ่งมีกรอบแนวคิดในการดำเนินการ ดังต่อไปนี้

L ย่อมาจาก Lend support คือการให้การสนับสนุนและพัฒนาบุคลากร เปนการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงและสงเสริมบุคลากรใหเกิดการพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติงาน หรือเพิ่มพูนความรูทักษะ ทัศนคติประสบการณและพฤติกรรมที่จําเปนตอการปฏิบัติงาน ทั้งนี้การพัฒนาบุคลากรนั้นจะตองอาศัยกระบวนการนิเทศภายในโรงเรียนดวยความรวมมือของบุคลากรภายในโรงเรียน เพื่อใหคําแนะนํา ชวยเหลือ ปรับปรุง และพัฒนาการปฏิบัติงานของบุคลากร ซึ่งประกอบด้วย KBM สามารถแจกแจงได้ดังนี้

K (Knowledge) ความรู้ คือ การพัฒนาวิชาชีพครูที่มีคุณภาพสูงและการเรียนรู้ตลอดอาชีพ : งานของครูจะมีความท้าทายมากขึ้นในอนาคต โดยครูจะต้องสามารถประเมินความสูญเสียทางการเรียนรู้ของนักเรียนที่เกิดขึ้นได้ และพัฒนาหลักสูตรการสอนเพื่อตอบโจทย์นั้น รวมถึงสามารถให้การสนับสนุนทางสังคมและทางอารมณ์กับนักเรียน และต้องทำการเรียนการสอนผ่านทั้งระบบออนไลน์ ที่โรงเรียน หรือแบบไฮบริดได้ ดังนั้น การพัฒนาวิชาชีพครูต่อจากนี้จะต้องมีการปรับให้เหมาะสม เจาะลึก ให้ทักษะความรู้ที่นำไปปฏิบัติได้จริง และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น Lesson Study การถ่ายทอดความรู้ การอบรม การฝึกประสบการณ์ การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การส่งเสริมให้ศึกษาต่อ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการจัดการความรู้ของครู เป็นต้น

ซึ่งการจัดการความรู้ (Knowledge Management หรือ KM) ความรู้ในกระบวนการ KM มี 2 ประเภท ได้แก่ ความรู้ที่ชัดแจ้ง (explicit knowledge) หมายถึง ความรู้เชิงวิชาการ หลักวิชาทฤษฎี ที่สามารถรวบรวมถ่ายทอดออกมาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น หนังสือ คู่มือ ปฏิบัติงาน เอกสารและรายงานต่าง ๆ ฯลฯ และความรู้ฝังลึก (tacit knowledge) เป็นความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคล ความเชื่อ ค่านิยม ภูมิปัญญา เหตุผล ทักษะ เป็นเทคนิคเฉพาะตัว เกิดจากประสบการณ์ กระบวนการ KM จะเข้ามาจัดการความรู้ทั้งสองประเภทให้กับบุคลากรที่เกี่ยวข้อง โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการจัดการความรู้ ประสบการณ์ และความสามารถทางวิชาชีพของครูผู้สอน รวมถึงส่งเสริมให้ครูผู้สอนมีโอกาสแลกเปลี่ยน และพัฒนาความรู้ร่วมกันในโรงเรียน

โดยคุณครูต้องนำความรู้ที่ชัดแจ้งและความรู้ฝังลึกมาจัดเป็นกระบวนการในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ PLC มี 4 กระบวนการ องค์ประกอบของกระบวนการ คือ แลกเปลี่ยน - เขียนออกมา - ยกระดับ - นำไปใช้ มีรายละเอียด ดังนี้

แลกเปลี่ยน (socialization) ผ่านการวางแผนบทเรียนร่วมกัน พร้อมแลกเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนรู้จากประสบการณ์ของคุณครูแต่ละคน โดยขั้นตอนนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือกันของคุณครูในการเลือกหัวข้อการสอนหรือเลือกปัญหาที่เคยพบเจอ นำมาพูดคุยแลกเปลี่ยนหาวิธีการพัฒนาให้การสอนดีขึ้น หรือแก้ปัญหาที่เคยพบจากการสอนในชั้นเรียน เช่น ปัญหาผู้เรียนไม่สนใจเรียนในบทเรียนที่สอน คุณครูจะออกแบบกิจกรรมอย่างไรให้ผู้เรียนสนใจกับบทเรียนนั้นมากขึ้น

เขียนออกมา (externalization) หลังจากขั้นตอนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ครูจัดทำแผนการสอนออกมาแล้วดำเนินการตามที่ได้รับคำแนะนำมา ขั้นตอนนี้เป็นการเก็บประสบการณ์ของคุณครูจากการนำกิจกรรมการสอนขึ้นใหม่ไปใช้ ซึ่งสามารถช่วยให้คำตอบว่าประสบความสำเร็จมากขึ้นหรือไม่ ในชั้นนี้คุณครูผู้สอนและที่เข้าไปอยู่ในชั้นเรียนจะสังเกตบรรยากาศและกิจกรรมที่เกิดขึ้นพร้อมบันทึกเพื่อใช้ในการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคุณครูท่านอื่นในครั้งถัดไป

ยกระดับ (combination) เมื่อได้บันทึกมาแล้วจะมีการประชุมอีกครั้งหลังสอนจบบทเรียน โดยคุณครูในกลุ่มจะมาแลกเปลี่ยนกับคุณครูในกลุ่มท่านอื่นว่าคิดเห็นอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนำกิจกรรมไปใช้ โดยครูแต่ละท่านจะรวบรวมข้อเสนอแนะเหล่านี้นำไปปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาแผนการสอนให้สมบูรณ์กว่าเดิม

นำไปใช้ (internalization) เมื่อถึงขั้นตอนสุดท้าย จะมีการประเมินผลและสรุปผลการจัดการเรียนรู้ของคุณครูในแต่ละครั้งที่ผ่านมา โดยคุณครูและผู้บริหารจะจัดการประชุม ไม่ใช่เพียงรับข้อเสนอแนะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเท่านั้น แต่รวมไปถึงการทำเป็นเอกสารหรือสื่อรูปแบบต่าง ๆ ที่คุณครูทั้งโรงเรียนสามารถเข้าถึงองค์ความรู้นี้ได้ เช่น รายงานกรณีศึกษา สื่อวิดีโอเกี่ยวกับวิธีการออกแบบการสอน หรือแหล่งความรู้อื่นที่คุณครูควรเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง

หากสังเกตจากกระบวนการทั้ง 4 ขั้นตอนนี้ก็จะพบว่ามันคือการศึกษาบทเรียนร่วมกันหรือ Lesson Study นั่นเอง ที่เน้นการพัฒนาคุณครูผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกันและกัน นำไปสู่การต่อยอดหาความรู้ของตัวคุณครูเองซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาวิชาชีพของคุณครูในโรงเรียน

B (Budget) งบประมาณ คือ การจัดสรรงบประมาณของสถานศึกษามุ่งเน้นความเป็นอิสระ ในการบริหารจัดการมีความคล่องตัว โปร่งใส ตรวจสอบได้ ยึดหลักการบริหารมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์และบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน ให้มีการจัดหา ผลประโยชน์จากทรัพย์สินของสถานศึกษา รวมทั้งจัดหารายได้จากบริการมาใช้บริหารจัดการเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา ที่สามารถส่งผลให้เกิดคุณภาพที่ดีขึ้นต่อผู้เรียน เช่น ค่าตอบแทน ค่าใช้สอย ค่าวัสดุ และค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น

M (Material) สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ คือ สถานศึกษาดำเนินการจัดหาสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ เอกสาร ตำรา สารเคมี ภาพยนตร์ศึกษา เช่น วิชาสังคมศึกษาอุปกรณ์ประเภทเลขาคณิต สื่อคอมพิวเตอร์ เช่น สื่อ CAI การสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ครู บุคลากรมีความสะดวกในจัดการเรียนการสอน

O ย่อมาจาก Open Observation คือ การนิเทศแบบเปิดเผยโดยการเอาใจใส่ เฝ้าระวัง ช่างสังเกต เป็นกัลยาณมิตรต่อกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ ซึ่งสามารถแยกย่อยได้ 3O ดังนี้

O1 Open mind เปิดกว้างทางความคิด เปิดโลกทัศน์ของครู คำว่า โลกทัศน์ (อ่านว่า โลก-กะ-ทัด) โลกทัศน์ ประกอบด้วยคำว่า โลก และ ทัศน์ ซึ่งมาจาก ทัศนะ หมายถึง ความเห็น การเห็น สิ่งที่เห็น จากโลกทัศน์ที่เปิดกว้าง หากมุ่งมั่นทำงานอย่างมีความสุข ชีวิตย่อมเดินไปสู่วิถีทางที่หยั่งรู้ความจริงได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น อย่างที่กล่าวกันว่า ชีวิตนี้มีโอกาสเรียนรู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

O2 Open door เปิดโอกาส คือ การเปิดโอกาสให้ครูผู้สอน ได้มีโอกาสในการพัฒนาตนเอง ทั้งในด้านการอบรม การศึกษาต่อ การแข่งขันทางวิชาการ และการเลื่อนขั้นเพื่อพัฒนาสายงานของตน

O3 Open Communication เปิดเผยในการสื่อสาร เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาเริ่มต้นจากความเชื่อใจ ไว้วางใจ ที่สามารถพูดคุย ปรึกษา แนะนำ ในทุกที่ ทุกเวลา ลดระบบขั้นตอนในการปรึกษาหารือ ส้รางมิตรภาพอันดีงามระหว่างผู้ให้การนิเทศ และผู้รับการนิเทศ

V ย่อมาจาก Value and Vision ค่านิยมและวิสัยทัศน์ การถ่ายโอนหรือปรับเปลี่ยนบุลากรกลางคัน ถือว่าเป็นจุดอ่อนของสถานศึกษา จึงต้องสร้างการทำงานของครู ให้ครูเกิดความตระหนัก ความรู้สึกว่าอยากทำงาน รักศิษย์เหมือนลูกหลานของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีสองปัจจัยของ เฮอร์เบอร์ก (HertZberg) เป็นทฤษฎีการจูงใจที่เกี่ยวข้อง และสามารถโยงไปสู่กระบวนการมีส่วนร่วมได้ เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงาน และร่วมสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ดีงามจาก การ คิดดี ปฏิบัติดี ตระหนักดี มีวิสัยทัศน์ดี ค่านิยม lifestyle ปฏิบัติในองค์รวม ก่อเกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง

ซึ่งการดำเนินการนิเทศ จะประยุกต์ใช้หลักการสอนงาน (Coaching) และหลักการเป็นพี่เลี้ยง (Mentoring) โดยความร่วมมือของผู้บริหารโรงเรียน ครูในโรงเรียนร่วมกิจกรรมแล้วบันทึกผลการสอน ความก้าวหน้า ปัญหาและข้อค้นพบที่เกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ รวมถึงวิธีการแก้ปัญหาและผลการแก้ปัญหา ซึ่งในขั้นนี้ผู้วิจัยและผู้ช่วยวิจัยหรือครูพี่เลี้ยงควรให้คำปรึกษาแนะนำ ติดตามเป็นรายบุคคลอย่างใกล้ชิด การปฏิบัติต้องเป็นไปตามขั้นตอนและข้อตกลงระหว่างกัน ในการให้คำแนะนำควรใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารที่เข้าใจง่าย และมีความระมัดระวังในการใช้ภาษา การจัดกิจกรรมให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งการแลกเปลี่ยนอาจไม่เป็นทางการ เช่น การพูดคุยระหว่างรับประทางอาหารกลางวันร่วมกัน หรือเวลาเช้าก่อนทำการสอนหรือหลังการสอนก่อนเลิกเรียนในแต่ละวัน ระหว่างครูผู้นำด้วยกันเอง ครูและผู้บริหารโรงเรียนเพื่อการสะท้อนผลถึงสิ่งที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติได้และสิ่งที่ยังเป็นปัญหาในการปฏิบัติกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ให้มีความชัดเจนและนำผลการสะท้อนมารวบรวมวิเคราะห์ สรุปหาแนวทางพัฒนาร่วมกันต่อไป

โดยหลักการนิเทศแบบสอนงานและพี่เลี้ยงมีแนวทางการมีแนวทางในการนิเทศ ดังนี้

1) การนิเทศเป็นไปอย่างมีกัลยาณมิตรและทั่วถึง ผู้นิเทศจะต้องให้การนิเทศโดยใช้เทคนิคการนิเทศที่หลากหลาย สอนแนะทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่ผู้รับการนิเทศ ปฏิบัติการนิเทศโดยครูนิเทศครู ผู้บริหารนิเทศครู เพื่อให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ แก้ปัญหาในการปฏิบัติการจัดการเรียนรู้ซึ่งกันและกันโดยให้คณะผู้รับการนิเทศต้องบันทึกความก้าวหน้าในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รวมถึงปัญหาในการจัดการเรียนรู้ เพื่อที่จะนำมาสัมมนาหาแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในการนิเทศลำดับต่อไป

2) นิเทศตามแผนดำเนินการโปรแกรมโดยใช้เทคนิควิธีการนิเทศให้สอดคล้องกับกิจกรรมที่เกิดจากการกำหนดร่วมกัน

3) ทุกคนได้รับการนิเทศ ติดตามประเมินผลอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งผู้นิเทศจะต้องทำการประเมินผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และผลการนิเทศร่วมกันระหว่างครูและผู้บริหารโรงเรียน แล้วนำผลการประเมินมาปรับปรุง และร่วมกำหนดแนวทางพัฒนาต่อเนื่องเพื่อให้มีความเข้าใจที่คงทน ซึ่งต้องทำการประเมินระหว่างดำเนินการนิเทศและหลังการนิเทศแล้ว โดยให้ครูผู้รับการนิเทศทำการประเมินตนเอง ผู้บริหารโรงเรียนหรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายทำการประเมินทุก 2 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้ง แล้วนำผลการประเมินมาวิเคราะห์ร่วมกัน

4) ให้ข้อมูลช้อนกลับและการเสริมแรงเพื่อสร้างแรงจูงใจเพื่อฝึกความเป็นผู้นำในการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษา โดยการจัดนิทรรศการเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำเสนอผลงานที่ภูมิใจหรือผลงานที่เป็นแบบอย่าง (Best Practice) ของครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้านการจัดการเรียนรู้ ให้คำชมเชย ให้เกียรติบัตรซึ่งมีแนวทางในการดำเนินการคือ

4.1) การกำหนดกิจกรรมให้ความรู้เพิ่มเติมควรจัดในลักษณะของการแลกเปลี่ยนเพื่อการสร้างเครือข่ายการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน

4.2) ตัวชี้วัดและเกณฑ์ในการประเมินควรมาจากการกำหนดร่วมกันของผู้เข้ารับฝึกอบรม โดยคำนึงถึงความถูกต้องและมีความยุติธรรม โปร่งใส

4.3) เป็นการให้ข้อมูลข้อนกลับ หรือสะท้อนผลการพัฒนาและเสริมแรงในเชิงบวก

4.4) วิทยากรกำหนดประเด็นปัญหาในการจัดการเรียนรู้ของผู้เข้ารับกาฝึกรอบรมที่ยังไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์มาทำการวิเคราะห์เพื่อกำหนดเป็นประเด็นสัมมนาร่วมกัน

4.5) อภิปราย เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาและพัฒนา

4.6) ตั้งคำถามกระตุ้นให้ผู้เข้ารับการอบรมแสดงความคิดเห็น

4.7 นำเสนอผลการจัดการเรียนรู้ที่ควรเป็นแบบอย่างแก่ครูผู้อื่น

4.8) ให้การเสริมแรงเพื่อสร้างแรงจูงในในการปฏิบัติงานต่อไป เช่น ให้การยกย่อง ชมเชย

เป็นต้น

E ย่อมาจาก Esteem การนับถือ คือ การนับถือต่อหน้าที่ นับถือตนเอง เคารพเพื่อนร่วมงาน เคารพนับถือผู้บังคับบัญชา มีความยุติธรรม เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน สร้างองค์กรแห่งวัฒนธรรมที่ดี ครูสามารถมีความรู้เพื่อนำตนเองเป็นผู้ที่มีภูมิรู้ ภูมิธรรม ภูมิฐาน เป็นผู้เรียนรู้อย่างยั่งยืน สามารถดำเนินการเสริมแรงการนิเทศเชิงบวกเพื่อเป็นกำลังใจและแนวปฏิบัติที่ดีในการนิเทศ

เน้นการเสริมแรงบวก ตามแนวความคิดของสกินเนอร์ สกินเนอร์ ได้แบ่งแนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมเป็น 2 ประเภท คือ Response behavior และ Operant behavior ดังนี้

1. Response behavior โดยพฤติกรรมเหล่านี้จะเกิดขึ้น เมื่อถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้า เช่น เห็นป้าย Sale คนส่วนใหญ่ก็จะเดินเข้าไปดูทันทีว่าขายอะไร หรือ เจอคำว่าแจกคูปองลดราคา บนจอสมาร์ทโฟน เราก็ต้องคลิกเข้าไปดูทันที สิ่งนี้เรียกว่า ใช้สิ่งเร้ามากระตุ้น ให้ร่างกายตอบสนอง ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้แล้ว เราก็ต้องพึ่งพาสิ่งเร้าเหล่านี้ตลอดไป ถ้าไม่มีสิ่งเร้า เราก็ไม่ทำ คล้ายๆกับการให้รางวัล ถ้าทำงานด้วยความปลอดภัย แล้วให้ตลอด ให้บ่อยๆ ต่อไปจะให้เขาทำอะไรๆก็ต้องให้รางวัล ซึ่งนายจ้างก็ไม่ต้องการให้ พนักงานรู้สึกอยากทำ เพราะอยากได้รางวัล แต่อยากให้พนักงานอยากทำ เพราะอยากได้รับความปลอดภัย บริษัทแห่งหนึ่งต้องการให้พนักงานส่ง Safety observation card เดือนละ 1 ใบ ต่อคน โดยให้ใบละ 20 บาท แรกๆพนักงานก็ส่ง เพราะพนักงานเองอยากได้เงิน เงินเป็นสิ่งเร้า แต่พอนานๆเข้า เขาก็ไม่ส่ง เพราะเริ่มเบื่อ และ ชินกับสิ่งเร้าที่ได้รับสม่ำเสมอ บริษัทก็ต้องกระตุ้นโดยการให้เงินมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเมื่อไรพนักงานจะรู้สึกว่า เขาทำความปลอดภัยเพื่อตนเอง เพราะตอนนี้ในสมองของเขาเห็นแค่ว่าส่ง Safety observation card แล้วได้เงิน แต่ไม่เห็นว่า เขียน Safety observation แล้วส่ง ได้ความปลอดภัย

2. Operant behavior โดยพฤติกรรมเหล่านี้เกิดขึ้น จากการวางเงื่อนไขเป็นตัวเสริมแรง (Reinforcement) โดยเน้นการสร้างพฤติกรรมจากการเรียนรู้ในสิ่งที่ทำ โดยที่เราได้วางเงื่อนไขเป็นตัวเสริมกระบวนการใช้แรงเสริม หรือ Reinforcement

Positive Reinforcement หรือ การเสริมแรงเชิงบวก โดยการเสริมแรงเชิงบวกจัดเป็นแนวคิดพื้นฐานทางด้านจิตวิทยา และพฤติกรรมนิยม แนวคิดนี้เป็นการนำเสนอสิ่งเร้าที่น่าพึงใจ เป็นของรางวัลตอบแทนเป็นการให้รางวัลทันทีหลังจากที่คนเราทำพฤติกรรมใด พฤติกรรมหนึ่งขึ้นมา เพื่อเพิ่มโอกาสที่พฤติกรรมนี้จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นวิธีการส่งเสริมและเสริมสร้างพฤติกรรมบางอย่าง โดยให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจเมื่อพฤติกรรมนั้นแสดงออกมานั่นเอง

ความเป็นมาของ แนวคิด Positive Reinforcement การเสริมแรงทางบวก

แนวคิด “การเสริมกำลังเชิงบวก” มาจากแนวคิดของนักจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม B.F. Skinner โดยแนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งในการศึกษาของเขา ในช่วงทศวรรษที่ 1930 และ 1940 โดยมีการเจาะลึกศึกษาในเรื่องของพฤติกรรม ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยการปฏิบัติต่อผู้อื่นให้แตกต่างออกไปจากเดิม แรกเริ่มทฤษฎีนี้ถูกเรียกว่า “operant conditioning”

การเสริมแรงเชิงบวก คือ การนำเสนอสิ่งเร้าที่พึงประสงค์หรือมอบสิ่งน่าพอใจให้ หลังจากที่มีการแสดงพฤติกรรมใด พฤติกรรมหนึ่ง เป็นการมอบ “รางวัล” ซึ่งสามารถใช้เทคนิคนี้เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมนั้นให้เกิดขึ้นเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่มีอยู่แล้ว ให้กลายเป็นพฤติกรรมใหม่ ๆ

องค์ประกอบที่สำคัญของการเสริมแรงเชิงบวก

ขั้นตอนและวิธีการที่จะนำแนวคิดการเสริมแรงเชิงบวกนี้ไปปฏิบัติ มีองค์ประกอบดังนี้

• พฤติกรรม: เริ่มจากเลือกการกระทำหรือพฤติกรรมบางอย่าง ที่ต้องการส่งเสริมขึ้นมา

• เลือกของรางวัล หรือสิ่งที่จะช่วยเสริมกำลังเชิงบวก: ขั้นตอนต่อมา คือ การเลือกสิ่งเร้าที่น่าพอใจ ที่จะนำไปเป็นของรางวัล โดยของรางวัลนี้ก็อาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความชอบและบริบทของแต่ละบุคคล แต่จะต้องเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้บุคคลทำพฤติกรรมนั้นซ้ำให้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าครูให้ขนมช็อกโกแลต 1 ชิ้น (ของรางวัล) กับนักเรียนทุกครั้งที่ทำการบ้านเสร็จ (พฤติกรรม) นักเรียนก็มีแนวโน้มที่จะทำการบ้านมาส่งอีก หรือมีการส่งการบ้านอย่างสม่ำเสมอ

การเสริมแรงเชิงบวก Positive Reinforcement

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: การเสริมแรงเชิงบวก จัดเป็นเครื่องมืออันทรงพลัง ใช้สำหรับการปรับเปลี่ยนและเพาะปลูกพฤติกรรมใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือแม้แต่สัตว์ เองก็ตาม มีการเชื่อมโยงผลลัพธ์ในเชิงบวกกับการกระทำที่ต้องการ ก็จะสามารถกระตุ้นทำให้เกิดการกระทำเหล่านั้นซ้ำ ๆ ได้

• ปลูกฝังทักษะใหม่: การเสริมแรงเชิงบวกยังมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเรียนรู้อีกด้วย ทำให้บุคคลที่ได้รับการเสริมแรงในรูปแบบนี้ ได้ฝึกทักษะและปลูกฝังความรู้ใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อได้รับผลลัพธ์เชิงบวกจากการกระทำนั้น ๆ ผู้ที่กำลังฝึกฝนตัวเอง ก็จะมีแรงจูงใจในการที่จะทำกิจกรรมการเรียนรู้ใหม่ ๆ มากขึ้น

• แรงจูงใจ: การเสริมแรงเชิงบวก ยังทำหน้าที่ในการสร้างแรงจูงใจอีกด้วย ทำให้มีแนวโน้มว่าบุคคลที่ได้รับการเสริมแรงในรูปแบบนี้ จะมีส่วนร่วมในพฤติกรรมที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเสนอรางวัล มีแนวโน้มว่าผู้ที่ต้องการรางวัลจะมีความพยายามมากขึ้น เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายหรือทำงานให้สำเร็จมากขึ้น

• การเสริมสร้างความสัมพันธ์: การใช้การเสริมแรงเชิงบวก ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ที่การนำไปปรับพฤติกรรมของแต่ละบุคคลเท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาใช้ในการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและสร้างความสัมพันธ์ได้อีกด้วย เช่น การแสดงความขอบคุณ การชมเชย และการให้รางวัลสำหรับการกระทำเชิงบวก จะเข้ามาช่วยกระชับความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างบุคคลได้

• การส่งเสริมสภาพแวดล้อมเชิงบวก: ในสถานศึกษา สถานที่ทำงาน และสภาพแวดล้อมอื่น ๆ การเสริมแรงเชิงบวกสามารถช่วยสร้างบรรยากาศเชิงบวก ทำให้มีพลังในการเรียน การทำงาน และการทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การเพิ่มขวัญกำลังใจ เพิ่มผลผลิต เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียน ได้เป็นอย่างดี

• การลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์: การเสริมแรงเชิงบวกยังสามารถใช้เพื่อลด หรือกำจัดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย มักใช้ในการบำบัดพฤติกรรม และการเลี้ยงดูลูกหลาน หรือเด็ก ๆ เพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของเด็ก ๆ

สามารถนำมาวาดเป็นแผนภาพรูปแบบการนิเทศแบบ LOVE Model ได้ดังรูป

กระบวนนิเทศ ขั้นตอนการดำเนินงานตามวงจรระบบคุณภาพ PDCA อธิบายได้ ดังนี้

1. Input คือ ตัวป้อนเข้าสู่ระบบ หมายถึงปัจจัยต่างๆ หรือองค์ประกอบที่นำไปสู่การดำเนินงาน ซึ่งประกอบด้วย การบริหารจัดการขององค์กร นักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ความพึงพอใจของครูต่อรูปแบบ LOVE Model และงบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์

2. Process คือ กระบวนการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยใช้กระบวนการนิเทศรูปแบบ จากการนิเทศภายในโดยใช้โดยใช้ รูปแบบการนิเทศภายใน LOVE Model ผสานกระบวนการนิเทศ 5 ขั้นตอนโดยใช้ห้องเรียนเป็นฐาน โดยการนิเทศ 3 ด้าน คือ ด้านห้องเรียน ครู ผู้เรียน

3. Output คือ ผลที่เกิดจากกระบวนการการนิเทศ ที่ส่งผลต่อ ผู้เรียนมีคุณภาพตามมาตรฐานส่งผล ให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นตามเกณฑ์ที่โรงเรียนกำหนด ครูมีศักยภาพในด้านการจัดการเรียนการสอน ให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ สถานศึกษามีระบบการบริหารงานองค์กรอย่างเป็นระบบ มีความเหมาะสมและ สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียน

4. Outcome คือ แก่นสำคัญ หรือ หัวใจสำคัญ ที่ต้องการให้ฝึกผู้เรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์เป็นเด็กดีศรีสมนึก กล่าวคือ เป็นผู้มีความประพฤติดี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ กตัญญู อยู่อย่างพอเพียง โดยมีเอกลักษณ์ที่มุ่งเน้น “โครงการเด่น เน้นสองภาษา” ผู้เรียนเป็นผู้มีความใฝ่เรียน ใฝ่รู้ รักการอ่าน บูรณาการใช้ภาษาอังกฤษ

โรงเรียนสมนึกพิทยาใช้กระบวนการนิเทศ 5 ขั้นตอน โดยมีรายละเอียดแต่ละขั้นตอนดังนี้

ขั้นที่ 1 (Information) การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการ

ขั้นที่ 2 (Planning) การวางแผนการนิเทศ

ขั้นที่ 3 (Doing) การสร้างสื่อและเครื่องมือนิเทศ

ขั้นที่ 4 (Implementation) การปฏิบัติการนิเทศ

ขั้นที่ 5 (Evaluating) การประเมินผลและรายงานผล

แผนภาพ แสดงกระบวนการนิเทศภายในโรงเรียน

โดยมีรายละเอียดแต่ละขั้นตอน มีดังนี้

ขั้นที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการ เป็นการกำหนดปัญหาและความต้องการในแก้ปัญหาหรือพัฒนา ดังนี้

1.1 การจัดทําข้อมูลสารสนเทศพื้นฐาน เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาวางแผน การดําเนินงาน

1.2 การแลกเปลี่ยนระดมความคิด วิเคราะห์เพื่อหาสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นและความต้องการ ในการพัฒนาตามบริบทของหน่วยงาน

1.3 การจัดลําดับปัญหาและเลือกปัญหาที่เป็นความจําเป็นหรือต้องการในลําดับเร่งด่วนหรือลําดับที่เห็นว่าสําคัญที่สุด

1.4 การสร้างการรับรู้ระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การประชุม การสัมมนา ฯลฯ เพื่อสร้างวิสัยทัศน์หรือสร้างเป้าหมายร่วมกันในการดําเนินงาน

ขั้นที่ 2 การวางแผนการนิเทศ เป็นการนําปัญหาและความต้องการ กําหนดรายละเอียดของกิจกรรมในการจัดทําแผนนิเทศ ดังนี้

2.1 กําหนดแนวทาง/วิธีการการพัฒนาที่หลากหลายตามปัญหาที่เกิดขึ้น ตามความต้องการ และจําเป็น มีการใช้กระบวนการชุมชนการเรียนรู้วิชาทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC) และการศึกษาชั้นเรียน (Lesson Study) เป็นเครื่องมือสําคัญในการพัฒนาวิชาชีพครูและการพัฒนา ผู้เรียนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง

2.2 เลือกแนวทาง/วิธีการในการพัฒนาโดยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

2.3 วางแผนการดําเนินงานพัฒนา

๑) การประชุมเตรียมการนิเทศ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกัน

๒) สร้างคณะนิเทศ เป็นทีมงานในการนิเทศร่วมกัน

๓) กําหนดประเด็นการนิเทศ เป็นการกําหนดเนื้อหาที่จะนิเทศ

๔) กําหนดระยะเวลาในการนิเทศ โดยกําหนดระยะเวลาในการนิเทศที่เหมาะสมกับ การแก้ปัญหาและการพัฒนา

๕) กําหนดวิธีการนิเทศและกิจกรรมการนิเทศที่เหมาะสมตามสภาพปัญหาและ ความต้องการ เช่น การประชุมสัมมนา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การสังเกตชั้นเรียน การสาธิต การบันทึกวิดีโอ และการถ่ายภาพ การสัมภาษณ์ การ Coaching & Mentoring ฯลฯ โดยเน้นการใช้ ICT ในรูปแบบต่างๆ เช่น การ ใช้ Line Application การ ใช้ Clip Video การ Conference กา ร ใช้ Video Line You Tube Facebook Live เป็นต้น

2.4 จัดทําแผนนิเทศ ประกอบด้วย หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ เป้าหมาย แผนการ ดําเนินการ กิจกรรมสําคัญ ปฏิทินการปฏิบัติงาน ทรัพยากรที่ต้องการ เครื่องมือนิเทศ ผลที่คาดว่าจะได้รับ

ขั้นที่ 3 การสร้างสื่อและเครื่องมือนิเทศ สื่อและเครื่องมือนิเทศเป็นสิ่งที่จะช่วยให้การนิเทศมีประสิทธิภาพ บรรลุวัตถุประสงค์ และ เป็นสิ่งที่จะช่วยเก็บรายละเอียดที่ผู้รับการนิเทศไม่สามารถแสดงออกมาได้ และสามารถเก็บข้อมูลนํามา เปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนา และสิ่งที่ทําให้มีความเข้าใจตรงกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ โดยในขั้นนี้มีกิจกรรมที่สำคัญ คือ

3.1 สร้างสื่อการนิเทศที่ทําให้การนิเทศบรรลุวัตถุประสงค์ เช่น วิธีการนิเทศ ทักษะ การ นิเทศ เทคนิคการนิเทศ โดยเป็นสื่อที่สอดคล้องคล้องในยุคศตวรรษที่ ๒๑ เน้นการใช้ ICT ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การใช้ Line Application การใช้ Clip Video การ Conference การใช้ Video Line You Tube Facebook Live เป็นต้น

3.2 สร้างเครื่องมือการนิเทศเพื่อเก็บข้อมูลเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและพัฒนา ตรวจสอบ ติดตามความก้าวหน้าของการดําเนินงาน และการประเมินผลการดําเนินงาน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มี คุณภาพ ใช้ง่าย สามารถเก็บข้อมูลที่ตอบประเด็นปัญหาความต้องการ และเป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหา ปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการศึกษา

ขั้นที่ 4 การปฏิบัติการนิเทศ ดําเนินการนิเทศตามวิธีการการนิเทศและกิจกรรมการนิเทศที่กําหนด

โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ คือ

4.1 ประชุมเตรียมการก่อนการนิเทศ เพื่อสร้างความเข้าใจของผู้นิเทศ ให้การนิเทศเป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ

4.2 นิเทศตามขั้นตอน ระยะเวลา และใช้เครื่องมือตามที่กําหนด

4.3 การสะท้อนผลการนิเทศ

4.4 ปรับปรุงและพัฒนาการดําเนินงานนั้น

ขั้นที่ 5 การประเมินผลและรายงานผล

โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ คือ

5.1 ประเมินความก้าวหน้าของการดําเนินงาน เช่น การดําเนินงานของผู้รับการนิเทศ เพื่อ นําผลไปปรับปรุงแนวทางการดําเนินงาน

5.2 ประเมินผลการนิเทศเมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติการนิเทศตามระยะเวลาที่ต้องการในการนําผลไปใช้ในการพัฒนา หรือในแต่ละปีการศึกษา

5.3 รายงานผลการนิเทศต่อผู้เกี่ยวข้อง

5.4 นําผลการนิเทศที่เป็นปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอแนะไปพัฒนาการนิเทศในครั้งต่อไป หรือในปีการศึกษาต่อไป

โพสต์โดย ครูอาย : [14 ม.ค. 2568 (15:18 น.)]
อ่าน [236] ไอพี : 223.204.203.49
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 992 ครั้ง
เตรียมพร้อม... เมื่อเข้าสตรีวัยทอง
เตรียมพร้อม... เมื่อเข้าสตรีวัยทอง

เปิดอ่าน 38,719 ครั้ง
ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงานและการประชุมระหว่างประเทศ(ฉบับที่3)2555
ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงานและการประชุมระหว่างประเทศ(ฉบับที่3)2555

เปิดอ่าน 33,426 ครั้ง
โรคพยาธิตัวจี๊ด
โรคพยาธิตัวจี๊ด

เปิดอ่าน 10,755 ครั้ง
แนะนำหนังสือน่าอ่าน
แนะนำหนังสือน่าอ่าน

เปิดอ่าน 18,362 ครั้ง
วิธีแก้อาการปวดหลัง
วิธีแก้อาการปวดหลัง

เปิดอ่าน 25,525 ครั้ง
ส่งเครื่องมือไปพิสูจน์หลักฐานว่ามนุษย์โลกเป็น ลูกหลานดาวอังคาร
ส่งเครื่องมือไปพิสูจน์หลักฐานว่ามนุษย์โลกเป็น ลูกหลานดาวอังคาร

เปิดอ่าน 3,517 ครั้ง
ปลูกดอกหน้าวัว แซมปาล์มน้ำมัน สร้างรายได้เสริม 46,000 บาท/ไร่/ปี
ปลูกดอกหน้าวัว แซมปาล์มน้ำมัน สร้างรายได้เสริม 46,000 บาท/ไร่/ปี

เปิดอ่าน 15,395 ครั้ง
เอกสารดาวน์โหลด! แนวทางการดำเนินงานการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยครอบครัว
เอกสารดาวน์โหลด! แนวทางการดำเนินงานการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยครอบครัว

เปิดอ่าน 23,781 ครั้ง
ลักษณะนิ้วมือบ่งบอกอะไร?
ลักษณะนิ้วมือบ่งบอกอะไร?

เปิดอ่าน 13,320 ครั้ง
กิจกรรมวันสงกรานต์
กิจกรรมวันสงกรานต์

เปิดอ่าน 18,123 ครั้ง
จัดฮวงจุ้ย . . . รับโชคปี 52 สู้วัวกระทิงเลือด
จัดฮวงจุ้ย . . . รับโชคปี 52 สู้วัวกระทิงเลือด

เปิดอ่าน 13,939 ครั้ง
เล็กๆ น้อยๆ เรื่องการนอน
เล็กๆ น้อยๆ เรื่องการนอน

เปิดอ่าน 20,003 ครั้ง
อวสาน อ.ก.ค.ศ. โดย อดิศร เนาวนนท์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
อวสาน อ.ก.ค.ศ. โดย อดิศร เนาวนนท์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

เปิดอ่าน 9,184 ครั้ง
เรื่องเล่าดีๆ เมื่อหนุ่มทำมือถือตกในแท็กซี่ โทรไปก็ไม่มีคนรับ ผลสุดท้ายคือ...
เรื่องเล่าดีๆ เมื่อหนุ่มทำมือถือตกในแท็กซี่ โทรไปก็ไม่มีคนรับ ผลสุดท้ายคือ...

เปิดอ่าน 20,221 ครั้ง
เหมือนอย่างกับแกะ! หุ่นยนต์เหมือนมนุษย์ตัวล่าสุด (มีคลิป)
เหมือนอย่างกับแกะ! หุ่นยนต์เหมือนมนุษย์ตัวล่าสุด (มีคลิป)

เปิดอ่าน 10,204 ครั้ง
ภูกระดึงเปิดฤดูท่องเที่ยว รับอากาศเย็น 1 ต.ค.นี้
ภูกระดึงเปิดฤดูท่องเที่ยว รับอากาศเย็น 1 ต.ค.นี้
เปิดอ่าน 13,280 ครั้ง
แผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ 2558 ของกระทรวงศึกษาธิการ
แผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ 2558 ของกระทรวงศึกษาธิการ
เปิดอ่าน 16,296 ครั้ง
การสอนภาษาอังกฤษ ในสพฐ. จุดอ่อนที่ควรคำนึง
การสอนภาษาอังกฤษ ในสพฐ. จุดอ่อนที่ควรคำนึง
เปิดอ่าน 16,337 ครั้ง
ปฏิรูปการศึกษาไทย เป็นเรื่องที่เหลวไหลและเลื่อนลอย
ปฏิรูปการศึกษาไทย เป็นเรื่องที่เหลวไหลและเลื่อนลอย
เปิดอ่าน 51,460 ครั้ง
10 อันดับของผลไม้ที่มี "วิตามินอี" สูง
10 อันดับของผลไม้ที่มี "วิตามินอี" สูง

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
โครงการบ้านเชียงใหม่
บ้านเชียงใหม่
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ