ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2
ผู้วิจัย นางสุจิตตรา กาญจนสินธุ์
ปีที่รายงาน 2566
คำสำคัญ การบริหารจัดการห้องสมุด, ส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 2) พัฒนารูปแบบการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 3) ทดลองใช้รูปแบบการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 4) ประเมินความเป็นไปได้ (Feasinility) และความเป็นประโยชน์ (Utility) ของรูปแบบการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 โดยดำเนินการวิจัยเป็น 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาปัญหาการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 เก็บข้อมูลเป็น 2 ขั้นย่อย ได้แก่ 1.1) ศึกษาปัญหาการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่ โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วยนักเรียน ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้ปกครองนักเรียน ได้มาโดยการสุ่มแบบชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) จำนวน 196 คน 1.2) รวบรวมปัญหาและสร้างข้อคำถามในการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่ โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย นักเรียน ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้ปกครองนักเรียน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 395 คน ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 เก็บข้อมูลเป็น 3 ขั้นย่อย ได้แก่ 2.1) ศึกษาเอกสาร ตำรา งานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ ที่เกี่ยวกับแนวคิดและทฤษฎีการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 แล้วนำมาสังเคราะห์ตัวแปรด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) 2.2) ศึกษาการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 จากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ และประสบการณ์ในการบริหารจัดการห้องสมุด จำนวน 6 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ด้วยแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง (Semi - Structured interview) แล้วนำมาสังเคราะห์ตัวแปรด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) 2.3) สังเคราะห์รูปแบบการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 ด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย นักเรียน ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้ปกครองนักเรียน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 395 คน นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์องค์ประกอบ (factor analysis) โดยใช้การวิเคราะห์เชิงสำรวจ (exploratory factor analysis, EFA) และใช้วิธีสกัดองค์ประกอบด้วย principal component analysis = PCA และทำการยืนยันด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (confirmatory factor analysis, CFA) ขั้นตอนที่ 3 การทดลองใช้รูปแบบการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 เก็บข้อมูลเป็น 3 ขั้นย่อย ได้แก่ 3.1) การสังเกตการทดลองใช้รูปแบบการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่ โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 แหล่งข้อมูลเป็นนักเรียน ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้ปกครองนักเรียน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Samping) จำนวน 50 คน 3.2) การสัมภาษณ์ผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 แหล่งข้อมูลเป็นนักเรียน ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้ปกครองนักเรียน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Samping) จำนวน 20 คน 3.3) การประเมินความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 แหล่งข้อมูลเป็นนักเรียน ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 395 คน ขั้นตอนที่ 4 การประเมินด้านความเป็นไปได้ (Feasinility) และความเป็นประโยชน์ (Utility) ของรูปแบบการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 แหล่งข้อมูลเป็นนักเรียน ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 395 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผลการศึกษาปัญหาการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 พบว่า ปัญหาการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่ โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด
2. ผลการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 จากการศึกษาเอกสาร ตำรา งานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ ได้ตัวแปรทั้งหมด 106 ตัวแปร และจากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้และประสบการณ์ในการบริหารจัดการห้องสมุด จำนวน 6 คน ได้ตัวแปรทั้งหมด 116 ตัวแปร ซึ่งมีตัวแปรที่ตรงกับเอกสาร แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัย จำนวน 84 ตัวแปร มีประเด็นเพิ่มเติมจากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิอีก 32 ตัวแปร รวมตัวแปรที่สำคัญที่นำไปใช้ได้ทั้งหมด จำนวน 138 ตัวแปร จากนั้นนำตัวแปรทั้งหมดไปเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์องค์ประกอบ (factor analysis) โดยใช้การวิเคราะห์เชิงสำรวจ (exploratory factor analysis, EFA) และใช้วิธีสกัดองค์ประกอบด้วย principal component analysis = PCA ได้ทั้งหมด 5 องค์ประกอบ 71 ตัวแปร จากนั้นนำองค์ประกอบที่ได้จากการวิเคราะห์ exploratory factor analysis (EFA) จำนวน 5 องค์ประกอบ 71 ตัวแปร มาทำการยืนยันด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (confirmatory factor analysis, CFA) ได้แก่ 1) ด้านการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน มี 18 ตัวแปรย่อย 2) ด้านการบริหารจัดการ มี 17 ตัวแปรย่อย 3) ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ มี 15 ตัวแปรย่อย 4) ด้านสภาพแวดล้อม มี 11 ตัวแปรย่อย และ 5) ด้านการให้บริการ มี 10 ตัวแปรย่อย
3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 พบว่า โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายองค์ประกอบ พบว่า ทุกองค์ประกอบมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด
4. ผลการประเมินด้านความเป็นไปได้ (Feasinility) และความเป็นประโยชน์ (Utility) ของรูปแบบการบริหารจัดการห้องสมุดเพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่ โพหัก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 พบว่า ด้านความเป็นไปได้ (Feasinility) และความเป็นประโยชน์ (Utility) ภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายองค์ประกอบ พบว่า ทุกองค์ประกอบมีความเป็นไปได้ (Feasinility) และมีความเป็นประโยชน์ (Utility) อยู่ในระดับมากที่สุด