บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการพัฒนารูปแบบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านความเป็นผู้นำทางวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐานเพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน 2) พัฒนารูปแบบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านความเป็นผู้นำทางวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐานเพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน 3) ทดลองใช้รูปแบบ และ 4) ประเมินรูปแบบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา กระบวนการวิจัยและพัฒนา แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 เป็นการศึกษาข้อมูลพื้นฐานเพื่อใช้ในการพัฒนารูปแบบ ผู้วิจัยดำเนินการ 4 ขั้นตอน ได้แก่ (1) ศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดกรอบแนวคิด (2) สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่านเพื่อสังเคราะห์องค์ประกอบของรูปแบบ (3) เก็บข้อมูลจากผู้บริหารและครู โดยศึกษาสภาพที่คาดหวัง สภาพปัจจุบัน และความต้องการจำเป็นของสมรรถนะใน 3 ด้าน ได้แก่ ความเป็นผู้นำทางวิชาการ เทคโนโลยี และการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 โดยใช้การสุ่มแบบหลายขั้นตอน จำนวน 300 คน และ (4) ศึกษาเขตพื้นที่ Best Practice จำนวน 3 เขต เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยสู่ความสำเร็จ ระยะที่ 2 เป็นการออกแบบและพัฒนารูปแบบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านความเป็นผู้นำทางวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐาน ผู้วิจัยนำผลการสังเคราะห์จาก ระยะที่ 1 มาพัฒนาเป็นร่างรูปแบบเบื้องต้น พร้อมจัดทำคู่มือการใช้รูปแบบ จากนั้นนำเสนอรูปแบบต่อผู้ทรงคุณวุฒิ 7 ท่าน เพื่อประเมินความเหมาะสม และความเป็นไปได้ของรูปแบบ ระยะที่ 3 เป็นการนำรูปแบบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านความเป็นผู้นำทางวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐาน ไปทดลองใช้จริงในสถานศึกษา โดยมีผู้บริหารและครูโรงเรียนที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการจำนวน 44 โรงเรียน เป็นผู้บริหาร จำนวน 44 คน ครู จำนวน 176 คนรวมทั้งสิ้น 220 คน ดำเนินการจัดกิจกรรมตามขั้นตอนของรูปแบบ ได้แก่ การอบรมเชิงปฏิบัติการ การนิเทศ ติดตาม และการประเมินผล ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ การสังเกต และการนิเทศติดตาม ระยะที่ 4 เป็นการประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านความเป็นผู้นำทางวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐาน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNImodified) การเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังการใช้รูปแบบ การวิเคราะห์เนื้อหา และการสังเคราะห์เชิงพรรณนา
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน พบว่าสภาพที่คาดหวัง สภาพปัจจุบัน และความต้องการจำเป็นของสมรรถนะผู้บริหารใน 3 ด้าน พบว่า สภาพที่คาดหวัง โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( average = 4.53, S.D. = 0.55) สภาพปัจจุบัน โดยรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง (average = 3.16, S.D. = 0.54) ดัชนีความต้องการจำเป็นโดยรวม (PNImodifed = 0.30 หรือคิดเป็น ร้อยละ 30 ลำดับความต้องการจำเป็นในการพัฒนาเรียงตามลำดับสูงไปต่ำ ได้แก่ ด้านคุณภาพของผู้เรียน (0.32) ด้านเทคโนโลยี (0.30) ด้านความเป็นผู้นำทางวิชาการ (0.28)
2. ผลการพัฒนารูปแบบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านความเป็นผู้นำทางวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐานเพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน พบว่า รูปแบบประกอบด้วย 6 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ (1) หลักการของรูปแบบ (2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ (3) กรอบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา (4) กระบวนการพัฒนาสมรรถนะ (5) การประเมินผลของรูปแบบ และ (6) ปัจจัยของความสำเร็จ ผลการตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบ พบว่า ความเหมาะสมของรูปแบบ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ( average= 4.54, S.D.= 0.51) และความเป็นไปได้ของรูปแบบ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ( average= 4.56, S.D. = 0.51) ผลการสร้างคู่มือการใช้รูปแบบ ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 บทนำ ส่วนที่ 2 สาระสำคัญของรูปแบบ ส่วนที่ 3 แนวทางการนำไปใช้ และส่วนที่ 4 เงื่อนไขการใช้รูปแบบ ผลการตรวจสอบความเหมาะสมของคู่มือการใช้รูปแบบ พบว่า ความเหมาะสมในภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( = 4.24, S.D. = 0.65)
3. ผลการทดลองใช้รูปแบบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านความเป็นผู้นำทางวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐานเพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน พบว่า
3.1 ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นผู้นำทางวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐานเพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน หลังการอบรมสูงกว่าก่อนการอบรม โดยมีคะแนนการพัฒนา
ร้อยละ 42.67 และผ่านเกณฑ์การประเมินที่กำหนดไว้ทุกคน
3.2 ผลการนิเทศ ติดตาม การใช้รูปแบบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านความเป็นผู้นำทางวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐานเพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน โดยภาพรวม พบว่า ครั้งที่ 1 มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ( = 3.94, S.D. = 0.61) การนิเทศติดตามในครั้งที่ 2 ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( average = 4.41, S.D. = 0.68)
3.3 ผลการนิเทศ ติดตาม สมรรถนะครูด้านการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน พบว่า โดยภาพรวม มีค่าคะแนนเพิ่มขึ้นทุกข้อ ครั้งที่ 1 มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ( average = 2.94, S.D. = 0.61) การนิเทศติดตามในครั้งที่ 2 ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( = 4.36, S.D. = 0.68)
4. ผลการประเมินรูปแบบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านความเป็นผู้นำทางวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐานเพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน พบว่า
4.1 ผลการประเมินสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านความเป็นผู้นำทางวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐาน ก่อนและหลังการใช้รูปแบบ พบว่าหลังการใช้รูปแบบมีการพัฒนาสมรรถนะในทุกด้านอย่างชัดเจน โดยค่าเฉลี่ยรวมก่อนใช้รูปแบบอยู่ในระดับปานกลาง ( average = 3.46, S.D. = 0.50) และหลังการใช้รูปแบบเพิ่มขึ้นเป็นระดับมากที่สุด ( average = 4.50, S.D. = 0.50)
4.2 ผลการประเมินคุณภาพของผู้เรียนที่เกิดจากการพัฒนาผู้บริหารพบว่า
(1)ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับชาติ (O-NET) ซึ่งค่าเฉลี่ยคะแนนเพิ่มขึ้นจาก 35.67 ในปี 2566 เป็น 39.85 ในปี 2567 คิดเป็นพัฒนาการ 4.18 คะแนน (2)ผลการเรียนเฉลี่ยในรายวิชาหลัก ได้แก่ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ พบว่าค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 81.02 เป็น 81.81 มีการพัฒนา (∆ = 0.79) (3)ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน มีค่าเฉลี่ยเพิ่มจาก 2.77 เป็น 2.88 พัฒนาการอยู่ที่ 0.11 คะแนน (4)ด้านการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน พบว่าค่าเฉลี่ยเพิ่มจาก 2.52 เป็น 2.73 คิดเป็นพัฒนาการ 0.21 คะแนน
4.3 ผลการประเมินรูปแบบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาความเป็นผู้นำทางวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐาน เพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน ในประเด็นด้านความเป็นไปได้ (Feasibility) ด้านความเป็นประโยชน์ (Utility) โดยภาพรวมทั้ง 2 ด้าน พบว่า มีผลการประเมินในระดับมาก ( = 4.44, S.D.=0.50)
4.4 ผู้บริหารสถานศึกษาและครู มีความพึงพอใจต่อรูปแบบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาความเป็นผู้นำทางวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐาน เพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน อยู่ในระดับมาก ( average = 4.15, S.D.=0.64)
คำสำคัญ: การพัฒนารูปแบบ; สมรรถนะผู้บริหาร; ความเป็นผู้นำทางวิชาการ; เทคโนโลยีเป็นฐาน; การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน;