รายงานการวิจัย การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว12101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเจริญวิทยา
ชื่อผู้วิจัย รัชฎาภรณ์ ชาญสูงเนิน
ปีที่ทำการวิจัย 2567
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ การใช้แบบฝึกเสริมทักษะเพื่อ 1. สร้างนวัตกรรมนำไปพัฒนาผู้เรียนในเรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ 2. เพื่อเปรียบเทียบผลการสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (Pre-test,Post-test) 3. เพื่อศึกษาผลการพัฒนาระหว่างการฝึกจำนวน 10 ครั้ง 4. เพื่อหาค่าประสิทธิภาพของนวัตกรรม E1/E2 = 80/80 5. เพื่อหาค่าสัมประสิทธิการกระจาย (C.V./ประสิทธิภาพการสอน) 6. เพื่อเปรียบเทียบผลการสอบด้วยสถิติ t - test
กลุ่มตัวอย่างได้มาจากประชากรชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทั้งห้องรวม 17 คน เป็นการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน นวัตกรรม ได้แก่ แบบฝึกเสริมทักษะวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาความรู้เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ ซึ่งเครื่องมือและนวัตกรรมดังกล่าวผ่านการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าร้อยละ (%) และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D)
การดำเนินการเริ่มต้นจากการทดสอบก่อนเรียน (Pre - test) แล้วบันทึกค่าคะแนนไว้ จากนั้นดำเนินการโดยใช้ แบบฝึกเสริมทักษะวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาทักษะการคิด ให้เหตุผล ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 10 สัปดาห์ มีการทดสอบระหว่างฝึก 2 สัปดาห์ / ครั้ง แล้วนำผลการสอบมาเปรียบเทียบหาค่าเฉลี่ย สัปดาห์สุดท้ายจัดให้มีการทดสอบหลังเรียน (Post test) เพื่อนำไปเปรียบเทียบความก้าวหน้ากับผลการสอบก่อนเรียน
ผลการวิจัยพบว่า
1.1 คุณภาพของเครื่องมือที่เป็นนวัตกรรม ได้แก่ ชุดฝึกเสริมทักษะวิทยาศาสตร์ เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ ที่กำหนดไว้ E1/E2 = 80/80 ปรากฏว่าค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ E1 มีค่าเท่ากับ 83.50 และค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์ E2 มีค่าเท่ากับ 82.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้
1.2 ผลการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ( Pre-test และ Post-test) ปรากฏว่าผลการสอบหลังเรียนได้ค่าเฉลี่ย ( = 9.23) สูงกว่าก่อนเรียน ค่าเฉลี่ย ( = 4.18) โดยมีการพัฒนาขึ้นค่าเฉลี่ย
( = 5.00) หรือ ร้อยละ 50.00 ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับ ดี
1.3 ผลการพัฒนาระหว่างเรียน โดยมีผลจากการทดสอบจำนวน 10 ครั้ง ปรากฏว่า ผลการทดสอบมีการพัฒนาสูงขึ้นตามลำดับและผลการทดสอบ 10 ครั้งมีค่าเฉลี่ยค่าเฉลี่ย ( = 9.45) หรือ
ร้อยละ 94.95 ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับ ดีมาก
1.4 ค่าสัมประสิทธิ์การกระจาย ( C.V. ) หรือค่าประสิทธิภาพการสอน มีค่าประสิทธิภาพ
เท่ากับ 2.48 ซึ่งอยู่ในระดับ ดีเยี่ยม
1.5 ค่าสถิติ t-test ปรากฏว่าผลการทดสอบหลังเรียนมีค่าเฉลี่ย ( = 9.23) ผลการทดสอบก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย ( = 4.18) แสดงว่าผลการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05