ชื่อเรื่อง รูปแบบการบริหารจัดการระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของโรงเรียนศิริราษฎร์สามัคคี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1
ผู้วิจัย วรินทร์ธรา ภัคอัมพาพันธ์
ปีที่ทำวิจัย ปีการศึกษา 2567
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) วิเคราะห์องค์ประกอบของการบริหารจัดการระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 (2) สร้างรูปแบบการบริหารจัดการระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของโรงเรียนศิริราษฎร์สามัคคี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 (3) ทดลองใช้รูปแบบการบริหารจัดการระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของโรงเรียนศิริราษฎร์สามัคคี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 และ (4) ประเมินรูปแบบการบริหารจัดการระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของโรงเรียนศิริราษฎร์สามัคคี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1
วิธีการวิจัยมี 4 ขั้นตอน ดังนี้ (1) ศึกษาองค์ประกอบของการบริหารจัดการระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 โดยการวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูวิชาการ ครูผู้รับผิดชอบการประกันคุณภาพระดับประถมศึกษา และครูผู้รับผิดชอบการประกันคุณภาพระดับปฐมวัย ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 จำนวน 452 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟา (α) โดยวิธีการของครอนบาค (Cronbach) (Cronbach, 1990: 126) พบว่า ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาเท่ากับ 0.95 วิธีรวบรวมข้อมูล และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ 1) หาค่าความตรงเชิงเนื้อหา IOC (Item Objective Congruence) 2) หาค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) โดยวิธีการของครอนบาค (Cronbach)3) หาค่าค่าความถี่ (Frequency) 4) ค่าร้อยละ (Percentage) 5) ค่าเฉลี่ย (Mean) 6) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ในการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของแบบสอบถาม และ7) วิเคราะห์องค์ประกอบ ด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสํารวจ (Exploratory factor analysis : EFA) 2) การสร้างรูปแบบโดยการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 คน ซึ่งผู้วิจัยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ในการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล มี 4 ฉบับ ได้แก่ ฉบับที่ 1 สรุปผลการวิเคราะห์ขั้นตอนที่ 1 ฉบับที่ 2 ร่างรูปแบบ ฯ ฉบับที่ 3 คู่มือการใช้รูปแบบ ฯ ฉบับที่ 4 แบบตรวจสอบการประเมินคู่มือการใช้รูปแบบ ฯ วิธีรวบรวมข้อมูล และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ดําเนินการประชุมสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 เวลา 13.00 น. 16.00 น. ณ ห้องประชุม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยวิทยาเขตนครสวรรค์ วิเคราะห์ข้อมูลข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญจากการจัดสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ (Connoisseurship) โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และการวิเคราะห์ข้อมูลจากการตรวจสอบรูปแบบและคู่มือการใช้รูปแบบ ด้วยค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ขั้นตอนที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบการบริหารจัดการระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของโรงเรียนศิริราษฎร์สามัคคี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ ครูผู้สอน จำนวน 8 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 7 คน และผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 102 คน รวมจำนวน 117 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา และสรุปผล เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล คือ 1) แบบประเมินรายงานการประเมินตนเอง (SAR) ตามมาตรฐานการศึกษาระดับปฐมวัย และ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีการศึกษา 2567 2) แบบบันทึกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับสถานศึกษา ระดับปฐมวัย และ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 3) แบบบันทึกผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน 4) แบบบันทึกผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ (O-NET) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 5) แบบบันทึกผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 6) แบบบันทึกผลการประเมินความสามารถการอ่านของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 (RT) 7) แบบบันทึกผลลัพธ์การพัฒนาสถานศึกษาเชิงประจักษ์ ของผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และผลงานนักเรียน วิธีรวบรวมข้อมูล และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ รวบรวมข้อมูลด้วยตนเองก่อนการใช้รูปแบบฯ ในต้นปีการศึกษา 2567 และหลังการใช้รูปแบบฯ ในปลายปีการศึกษา 2567 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ 3 ได้แก่ 1) หาค่าความตรงเชิงเนื้อหา IOC (Item Objective Congruence) 2) หาค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) โดยวิธีการของครอนบาค (Cronbach) 3) ค่าความถี่ (Frequency) 4) ค่าร้อยละ (Percentage) 5) ค่าเฉลี่ย (Mean) 6) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และ 7) การตรวจสอบผลจากการทดลองใช้รูปแบบการทดสอบค่าที (t-test) แบบ Paired -Samples Test ขั้นตอนที่ 4 ประเมินรูปแบบการบริหารจัดการระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของโรงเรียนศิริราษฎร์สามัคคี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ ครูผู้สอน จำนวน 8 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 7 คน และผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 102 คน ปีการศึกษา 2567 รวมจำนวน 117 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล 1) แบบประเมินความเหมาะสม ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.94 ความถูกต้อง ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.93 ความเป็นไปได้ ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 ความเป็นประโยชน์ ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.90 4) และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการดําเนินงานของรูปแบบฯ ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.89 วิธีรวบรวมข้อมูล และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ผู้วิจัยดําเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ในปีการศึกษา 2567 การวิเคราะห์แบบประเมินรูปแบบฯและแบบประเมินความพึงพอใจต่อการดําเนินงานของรูปแบบ ฯ ด้วยสถิติพื้นฐาน คือ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) รายข้อ และภาพรวม นําค่าเฉลี่ยเปรียบเทียบกับเกณฑ์ตามแนวคิดของเบสท์
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบของการบริหารจัดการระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ 82 ตัวแปร ได้ 7 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบที่ 1 ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา องค์ประกอบที่ 2 การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ องค์ประกอบที่ 3 การบริหารสถานศึกษาเชิงระบบและมุ่งผลสัมฤทธิ์ องค์ประกอบที่ 4 การจัดการเรียนรู้เชิงรุก องค์ประกอบที่ 5 การนิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินผล องค์ประกอบที่ 6 การสร้างและพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือในการจัดการศึกษา และองค์ประกอบที่ 7 การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
2. การสร้างรูปแบบการบริหารจัดการระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของโรงเรียนศิริราษฎร์สามัคคี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ส่วนนำ ได้แก่ 1) หลักการและแนวคิดการพัฒนารูปแบบ และ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ ส่วนที่ 2 เนื้อหา ประกอบด้วย 2.1) กระบวนการดำเนินงานเพื่อพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบที่ 1 ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา องค์ประกอบที่ 2 การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ องค์ประกอบที่ 3 การบริหารสถานศึกษาเชิงระบบและมุ่งผลสัมฤทธิ์ องค์ประกอบที่ 4 การจัดการเรียนรู้เชิงรุก องค์ประกอบที่ 5 การนิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินผล องค์ประกอบที่ 6 การสร้างและพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือในการจัดการศึกษา และองค์ประกอบที่ 7 การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน 2.2) ผลลัพธ์ของกระบวนการ ได้แก่ 1) ผลการประเมินมาตรฐานการศึกษาระดับปฐมวัยและระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามหลักสูตรสถานศึกษา 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ 3) ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน 4) ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ (O-NET) 5) ผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 6) ผลการประเมินความสามารถการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 (RT) 7) ผลลัพธ์การพัฒนาสถานศึกษาเชิงประจักษ์ ของผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และผลงานนักเรียน และส่วนที่ 3 เงื่อนไขความสำเร็จ ผลการยืนยันรูปแบบจากผู้เชี่ยวชาญ พบว่า รูปแบบและคู่มือการใช้รูปแบบมีความเหมาะสม
3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารจัดการระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของโรงเรียนศิริราษฎร์สามัคคี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 พบว่า (1) ผลการประเมินคุณภาพภายในตามมาตรฐานของสถานศึกษามาตรฐานสถานศึกษาปีการศึกษา 2567 ระดับปฐมวัย ภาพรวมอยู่ในระดับคุณภาพยอดเยี่ยม แยกเป็นรายด้าน ดังนี้ มาตรฐานที่ 1 คุณภาพของเด็ก ดีเลิศ มาตรฐานที่ 2 กระบวนการบริหารและการจัดการ ยอดเยี่ยม มาตรฐานที่ 3 การจัดประสบการณ์ที่เน้นเด็กเป็นสำคัญระดับคุณภาพยอดเยี่ยม ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับสถานศึกษาปีการศึกษา 2567 ระดับปฐมวัย 1) ร้อยละของนักเรียนที่มีผลการประเมินพัฒนาการแต่ละด้านในระดับ 3 ขึ้นไป ด้านร่างกาย ร้อยละ 88.00 ด้านอารมณ์จิตใจร้อยละ 92.00 ด้านสังคมร้อยละ 92.00 ด้านสติปัญญาร้อยละ 92.00 รวมทั้ง 4 ด้าน ร้อยละ 92.00 2) พัฒนาการด้านร่างกายบรรลุตามเป้าหมาย ดังนี้ พัฒนาการด้านร่างกาย ร้อยละ 89.33 พัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ ร้อยละ 90.67 พัฒนาการด้านสังคม ร้อยละ 89.33 มีพัฒนาการด้านสติปัญญาร้อยละ 90.00 ผลการดำเนินการสูงกว่าค่าเป้าหมายที่สถานศึกษากำหนดคือ ร้อยละ 88.00 และมีความพร้อมในการศึกษาระดับชั้นต่อไปและในระดับประถมศึกษา ด้านกระบวนการบริหารและการจัดการ ระดับคุณภาพยอดเยี่ยม มีผลการดำเนินการเป็นไปตามค่าเป้าหมายที่สถานศึกษากำหนด ด้านการจัดประสบการณ์ที่เน้นเด็กเป็นสำคัญ อยู่ในระดับคุณภาพ ยอดเยี่ยม ร้อยละ 98.04 ผลการดำเนินการสูงกว่าค่าเป้าหมายที่สถานศึกษากำหนด คือร้อยละ 93 ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานภาพรวมอยู่ในระดับคุณภาพยอดเยี่ยม มีดังนี้ 1) มาตรฐานที่ 1 คุณภาพของผู้เรียนเฉลี่ย 93.78 อยู่ในระดับดีเลิศ (สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนด) คือ ร้อยละ 80 มาตรฐานที่ 2 กระบวนการบริหารและการจัดการ อยู่ในระดับ ยอดเยี่ยม (เป็นไปตามค่าเป้าหมายที่กำหนด คือยอดเยี่ยม) และ มาตรฐานที่ 3 กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สรุปผลการดำเนินการเฉลี่ย 96.62 (สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนด) คือ ร้อยละ 90 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามหลักสูตรสถานศึกษา 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ค่าเฉลี่ย 82.87 สูงกว่าเป้าหมาย คือร้อยละ 80 3) ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนในภาพรวม พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ อยู่ในระดับดีเยี่ยม 79.31 รองลงมามีผลการประเมินอยู่ในระดับดี 20.69 และเมื่อพิจารณาจำนวนนักเรียนที่มีการประเมินอยู่ในระดับดีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 100 สูงกว่าเป้าหมาย 4) ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ (O-NET) สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ 2 วิชา ได้แก่ รายวิชา ภาษาไทย คะแนนเฉลี่ย 55.56 (ระดับประเทศ คะแนนเฉลี่ย 54.20) และรายวิชา คณิตศาสตร์ คะแนนเฉลี่ย 31.03 (ระดับประเทศ คะแนนเฉลี่ย 29.21) 5) ผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ ทั้งด้านคณิตศาสตร์ คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 85.70 และด้านภาษาไทย คะแนนเฉลี่ย 82.00 รวมความสามารถทั้ง 2 ด้าน คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 83.85 (ระดับประเทศ คะแนนเฉลี่ย 57.81) 6) ผลการประเมินความสามารถการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 (RT) สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ ทั้งด้านการอ่านออกเสียง96.00 และด้านการอ่านรู้เรื่อง 91.80 รวมคะแนนเฉลี่ย 2 ด้าน 93.90 (คะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ 78.51) 7) ผลลัพธ์การพัฒนาสถานศึกษาเชิงประจักษ์ ผลที่ปรากฏต่อนักเรียน ครู ผู้บริหารสถานศึกษา และสถานศึกษา ได้รับการยกย่อง/เกียรติบัตร/รางวัล จากการประกวด แข่งขันและเข้าร่วมกิจกรรมทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค ระดับจังหวัด และระดับเขตพื้นที่การศึกษา 8) ผลการพัฒนาคุณภาพการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนใช้แตกต่างอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. ผลการประเมินรูปแบบการบริหารจัดการระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของโรงเรียนศิริราษฎร์สามัคคี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 พบว่า โดยภาพรวมมีความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้องที่มีต่อรูปแบบการบริหารจัดการระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนศิริราษฎร์สามัคคี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 พบว่า ผู้เกี่ยวข้องมีความพึงพอใจต่อการดำเนินงานอยู่ในระดับมากที่สุด