1. ความสำคัญของผลงาน
1.1 ความเป็นมาและปัญหา
ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายที่เป็นพลวัตของโลกศตวรรษที่ 21 ทั้งในส่วนที่เป็นแรงกดดัน ภายนอกจากกระแสโลกาภิวัตน์และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และแรงกดดันจากภายในจากสภาวการณ์และการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างประชากร สิ่งแวดล้อมเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อระบบการศึกษา ซึ่งเป็นกลไกหลักในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อันเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศ ระบบการศึกษาจึงต้องปรับเปลี่ยนให้สนองและรองรับความท้าทายดังกล่าว (สำนักงานเลขาธิการ สภาการศึกษา, 2560) คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิดมนุษย์ทำให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วน รอบคอบ ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหา และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องเหมาะสม นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและศาสตร์อื่นๆ คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560 อ้างถึงใน สันนิสา สมัยอยู่, 2554)
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหา โดยกำหนดให้เป็นสมรรถนะสำคัญของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรม และข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคมแสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ปัญหา (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 อ้างถึงใน นริศรา สำราญวงษ์, 2558) การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์และในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่ได้กำหนดไว้ว่าความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เป็นทักษะที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียนทุกระดับชั้น แสดงให้เห็นว่าการแก้ปัญหาเป็นกระบวนการที่นักเรียนควรจะเรียนรู้ ฝึกฝน และพัฒนาให้เกิดทักษะขึ้นในตัวนักเรียน การเรียนการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์จะช่วยให้นักเรียนมีแนวทางการคิดที่หลากหลายมีนิสัยกระตือรือร้น ไม่ย่อท้อ และมีความมั่นใจในการแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ทั้งภายในและภายนอกห้องเรียนตลอดจนเป็นทักษะพื้นฐานที่นักเรียนสามารถนำติดตัวไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้นานตลอดชีวิต (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2555)
จากหลักการและเหตุผลดังกล่าวเห็นได้ว่าการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เป็นทักษะที่จำเป็นในการพัฒนาความสามารถทางคณิตศาสตร์ให้แก่นักเรียน แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ซึ่งสะท้อนได้จากผลการประเมิน PISA 2022 พบว่าคะแนนเฉลี่ยคณิตศาสตร์ของนักเรียนไทย คือ 394 คะแนน ซึ่งลดลงจากผลการประเมิน PISA 2018 ซึ่งมีคะแนนเป็น 419 คะแนน และมีคะแนนน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศสมาชิก OECD ซึ่งมีคะแนนเป็น 472 คะแนน (สสวท, 2566) และจากผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนปากพูน พบว่านักเรียนที่มีผลการเรียนอยู่ในระดับ 2 ขึ้นไปเพียงร้อยละ 40 ซึ่งต่ำกว่าค่าเป้าหมายความสำเร็จตามมาตรฐานการศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนปากพูน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่ตั้งไว้ร้อยละ 60 และเมื่อพิจารณาพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ไม่สามารถคิด วิเคราะห์ และวางแผนในการแก้โจทย์ปัญหา ขาดทักษะในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแก้โจทย์ปัญหาเรื่อง หลักการนับเบื้องต้น เนื่องจากนักเรียนไม่เข้าใจโจทย์ปัญหาและเกิดความสับสนในการเลือกใช้กฎเกณฑ์เบื้องต้น เกี่ยวกับการนับโดยนักเรียนไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าโจทย์ลักษณะใดควรใช้หลักการบวก หรือหลักการคูณ ครูผู้สอนจึงต้องหาแนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่สามารถส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน
1.2 แนวทางการแก้ปัญหาและการพัฒนา
ครูผู้สอนเห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าว และเมื่อได้ศึกษาบริบทของโรงเรียนปากพูนซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก นักเรียนส่วนใหญ่มีฐานะปานกลางถึงยากจน มักไม่ได้รับความใส่ใจจากผู้ปกครองเท่าที่ควร ทั้งนี้มีนักเรียนจำนวนมากที่เป็นนักเรียนกลุ่มเรียนรวมซึ่งจะมีปัญหาในการอ่าน และการคิดวิเคราะห์ นักเรียนไม่สามารถคิดวิเคราะห์ หรือแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อนได้ ด้วยปัจจัยเหล่านี้ครูผู้สอนจึงมุ่งศึกษาวิธีการจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาได้อย่างเป็นขั้นตอน
การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ Search Solve Create Share (SSCS) พัฒนาขึ้นมาจากสมมติฐานที่ว่านักเรียนเรียนรู้การใช้ทักษะการแก้ปัญหาได้สมบูรณ์ที่สุดโดยผ่านประสบการณ์การแก้ปัญหา และในการที่จะแก้ปัญหาให้สำเร็จนั้น จะต้องมีองค์ประกอบในด้านทักษะการคิดที่ได้รับจากประสบการณ์ (Butts & Jones, 1966 อ้างถึงใน สุภาพร ปิ่นทอง, 2554) อาจกล่าวได้ว่าทักษะทางความคิดที่มีความจำเป็นสำหรับการแก้ปัญหาคือทักษะในการจัดระบบข้อมูลและแสวงหาข้อมูล หาทางเลือกของวิธีการแก้ปัญหา พยายามจัดข้อมูลให้สามารถอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา ความอยากรู้ของนักเรียน นักเรียนจะได้รับโอกาสในการแสดงความคิดเห็นสามารถโต้ตอบและสื่อสารกับนักเรียนคนอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านกิจกรรมการอภิปราย แลกเปลี่ยนข้อมูลที่ได้รับเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม โดยครูเป็นเพียงผู้แนะนำเสนอปัญหาและเป็นผู้กระตุ้นให้นักเรียนคิดและค้นคว้าด้วยตนเอง (สุภาพร ปิ่นทอง, 2554)
จากเหตุผลดังกล่าวผู้สอนจึงสนใจการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้รูปแบบ SCSS หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ Search Solve Create Share (SSCS) ว่าเป็นอย่างไร ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลังการจัดการเรียนรู้แตกต่างจากเกณฑ์คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 60 หรือไม่อย่างไร และนักเรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์หรือไม่ ใช้ในการพัฒนานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนปากพูน ให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องหลักการนับเบื้องต้น พร้อมทั้งเป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์นำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ในวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. วัตถุประสงค์ และเป้าหมาย
วัตถุประสงค์
1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนรู้โดยใช้รูปแบบ SSCS กับเกณฑ์ร้อยละ 60
2. เพื่อศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนรู้โดยรูปแบบ SSCS
เชิงปริมาณ
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนรู้โดยใช้รูปแบบ SSCS สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60
2. ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนรู้โดยรูปแบบ SSCS สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60
เชิงคุณภาพ
1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีความสามารถด้านการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และสามารถนำไปบูรณาการสถานการณ์ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. กระบวนการผลิตผลงานหรือขั้นตอนการดำเนินงาน
3.1 การออกแบบวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ
ผู้สอนเห็นถึงบริบทของโรงเรียนและนักเรียน และสภาพปัญหาดังกล่าวข้างต้น ก็ตระหนักว่าหากครูต้องการให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางเรียนที่สูงขึ้น มีความสามารถในการแก้ปัญหา ครูควรปรับเปลี่ยนแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยมุ่งเน้นให้นักเรียนคิดและใช้เหตุผลในการหาคำตอบ ไม่ใช้วิธีการท่องจำหรือบอกนักเรียนในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ซึ่งพบว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ SSCS เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการแก้ปัญหา เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้วางแผนการแก้ปัญหา และลงมือแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยครูเป็นเพียงผู้ให้คำปรึกษาหรือชี้แนะให้นักเรียนได้รู้แนวทางในการแก้ปัญหา ไม่ใช่เป็นผู้บอกหรือแสดงวิธีคิดให้กับนักเรียน และครูเปิดโอกาสให้นักเรียนได้อภิปรายหรือแสดงความคิดเห็นในวิธีการแก้ปัญหาที่ได้การจัดการเรียนรู้ (วิภาดา คล้ายนิ่ม, 2560) โดยใช้รูปแบบ SSCS มี 4 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 Search: S เป็นขั้นตอนการค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวกับโจทย์ปัญหาและค้นหาประเด็นของปัญหา
ขั้นที่ 2 Solve: S เป็นขั้นตอนการวางแผนในการแก้ปัญหาและค้นหาคำตอบของปัญหาที่ต้องการ
ขั้นที่ 3 Create: C เป็นขั้นตอนการนำข้อมูลที่ได้หรือคำตอบที่ได้จากการแก้ปัญหามาทำให้อยู่ในรูปของคำตอบที่สามารถอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่าย
ขั้นที่ 4 Share: S เป็นขั้นตอนที่ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำตอบที่ได้และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาใหม่หรือแก้ไขวิธีแก้ปัญหาเดิม
จะเห็นได้ว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ SSCS เป็นขั้นตอนที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาโดยให้นักเรียนได้ค้นหาข้อมูลจากโจทย์ปัญหา วางแผนในการแก้ปัญหาก่อนที่จะแก้ปัญหา และเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับวิธีในการแก้ปัญหา
3.2 การดำเนินงานตามขั้นตอนกระบวนการ
ผู้สอนได้ดำเนินการจนประสบความสำเร็จ โดยใช้กระบวนการ PDCA โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
ขั้นเตรียมการ (PLAN)
1. วิเคราะห์สภาพปัญหาที่ทำให้นักเรียนความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ขาดทักษะในการคิดวิเคราะห์ เพื่อวางแผนแก้ปัญหา ขาดแรงจูงใจในการแก้ปัญหา
2. วิเคราะห์เป้าหมาย จุดเน้นทางด้านการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์องกระทรวงศึกษาธิการ
ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และของโรงเรียนปากพูน
3. ศึกษาหลักสูตรและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ที่สามารถแก้ปัญหาได้ตรงตามเป้าหมาย
3.1 ศึกษาแนวคิดทฤษฎี Constructivism ซึ่งมุ่งเน้นสร้างการเรียนรู้ที่แตกต่าง โดยมีเป้าหมาย และหลักการ ดังนี้
3.2 ศึกษาการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ SSCS
4. ออกแบบการจัดการจัดการเรียนการสอน โดยใช้การจัดการเรียนรู้รูปแบบ SCSS
ขั้นดำเนินการ (Do)
1. จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้นโดยใช้รูปแบบ SCSS
1.1 S: Search เป็นขั้นตอนการวางแผนในการแก้ปัญหาและค้นหาคำตอบของปัญหาที่ต้องการ
1.2 S: Solve เป็นขั้นตอนการวางแผนในการแก้ปัญหาและค้นหาคำตอบของปัญหาที่ต้องการ
1.3 C: Create เป็นขั้นตอนการนำข้อมูลที่ได้หรือคำตอบที่ได้จากการแก้ปัญหามาทำให้อยู่ในรูปของคำตอบที่สามารถอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่าย
1.4 S : Share สรุปความคิดรวบยอด หลังจากร่วมกันตรวจสอบและเติมเต็มวิธีการแก้ปัญหาจนสมบูรณ์ ให้นักเรียนสรุปความคิดรวบยอด เพื่อนำแนวคิดที่ได้ไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ปัญหาอื่น ๆ ต่อไป
2. จัดการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่เตรียมไว้
3. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้
ขั้นตรวจสอบและประเมินผลการพัฒนางาน (Check)
1. ประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้รูปแบบ SCSS โดยตรวจแบบฝึกหัด และแบบทดสอบ
ขั้นสรุปและรายงาน (Action)
1. นำผลการประเมินมาวิเคราะห์ว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ หากไม่ก็จะทำการปรับปรุงและพัฒนาในการจัดการเรียนรู้ครั้งต่อไป
2. บันทึกหลังสอนเมื่อมีการปรับปรุงการจัดการเรียนรู้
3.3 ประสิทธิภาพของการดำเนินงาน
จากการจัดการเรียนรู้เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้รูปแบบ SCSS เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ พบว่า
ขั้นที่ 1 Search: S เมื่อนำเสนอสถานการณ์ปัญหาต่อชั้นเรียนนักเรียนได้ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาและแยกแยะประเด็นของปัญหา โดยจะระบุได้ว่าโจทย์ให้ข้อมูลใดบ้าง และต้องการหาอะไร โดยมีครูคอยช่วยเหลือและแนะนำ
ขั้นที่ 2 Solve: S นักเรียนดำเนินการวางแผนในการแก้ปัญหา โดยวิเคราะห์จากข้อมูลที่โจทย์ให้ว่าจะใช้วิธีการใดให้ได้มาซึ่งคำตอบที่โจทย์ต้องการ ทั้งนี้นักเรียนจะได้หาวิธีการคิดที่เหมาะสม และเป็นไปตามเงื่อนไขของโจทย์ จากนั้นนักเรียนจะได้ลงมือแก้ปัญหาตามแผนเพื่อหาคำตอบของปัญหาที่ต้องการ ซึ่งนักเรียนแต่ละคนอาจจะใช้วิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน จากนั้นนักเรียนจะได้ตรวจสอบคำตอบของตัวเอง
ขั้นที่ 3 Create: C นักเรียนนำผลที่ได้จากการดำเนินการในขั้นที่ 2 มาจัดกระทำเป็นขั้นตอนเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจและเป็นขั้นตอนมากขึ้นตามความคิดเห็นตามความเข้าใจของนักเรียนเองเพื่อที่จะสื่อสารกับคนอื่นได้ โดยครูใช้คำถามซักถามนักเรียนถึงที่มาของคำตอบนักเรียนมีวิธีการหาคำตอบมาได้อย่างไร
ขั้นที่ 4 Share: S นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำตอบและขั้นตอนหรือวิธีการที่ใช้ในการแก้ปัญหาที่ได้ทั้งของตนเองและของเพื่อน ครูให้ตัวแทนนักเรียนนำเสนอผลงานหน้าชั้นรายงานผลให้เพื่อนฟัง นักเรียนอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับคำตอบและข้อผิดพลาดทั้งของตนเองและของเพื่อน ถ้ามีปัญหาสงสัยหรือไม่เข้าใจให้ถาม
3.4 การใช้ทรัพยากร
การจัดการเรียนการสอนของผู้พัฒนามีการใช้ทรัพยากรทางด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ด้านอาคารสถานที่ : ใช้ห้องเรียนคณิตศาสตร์ของโรงเรียนปากพูนในการดำเนินกิจกรรมในห้องเรียน มีการจัดห้องเรียนให้เอื้อต่อการทำกิจกรรมกลุ่ม
2. ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อการจัดการเรียนการสอน : ผู้สอนได้ใช้ไอแพด และสื่อเทคโนโลยีที่สร้างขึ้น เพื่อสนับสนุนการรับรู้ของนักเรียนให้ดียิ่งขึ้น
4. ผลการดำเนินงาน/ผลสัมฤทธิ์/ประโยชน์ที่ได้รับ
4.1 ผลที่เกิดตามวัตถุประสงค์
ตารางที่ 1 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนรู้โดยใช้รูปแบบ SSCS กับเกณฑ์คะแนน
เฉลี่ยร้อยละ 60
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ จำนวน
(N) คะแนนเต็ม
(ร้อยละ60 )
(ร้อยละ) S.D. t p-value
หลังการจัดการเรียนรู้ 18 20 12 14.50 2.4 4.406 .000
(72.50)
1.คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนรู้โดยใช้รูปแบบ SSCS มีคะแนนเฉลี่ย 14.50 คิดเป็นร้อยละ 72.50 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.41 จากการทดสอบด้วยสถิติ ttest for one sample ได้ค่า t เป็น 4.406 และค่า p เท่ากับ .00 แสดงว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนรู้โดยใช้รูปแบบ SSCS สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ตารางที่ 2 เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนรู้โดยใช้รูปแบบ SSCS กับเกณฑ์คะแนน
เฉลี่ยร้อยละ 60
ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ จำนวน
(N) คะแนนเต็ม
(ร้อยละ60 )
(ร้อยละ) S.D. t p-value
หลังการจัดการเรียนรู้ 18 40 24 29.72 1.03 5.564 .000
(74.30)
2. ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนรู้โดยรูปแบบ SSCS มีคะแนนเฉลี่ย 29.72 คิดเป็นร้อยละ 74.30 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.03 จากการทดสอบด้วยสถิติ ttest for one sample ได้ค่า t เป็น 5.564 และค่า p เท่ากับ .00 แสดงว่า ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนรู้โดยรูปแบบ SSCS สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05โดยผู้สอนวิเคราะห์ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4