ชื่อเรื่อง การพัฒนาการพัฒนารูปแบบการเรียนคณิตศาสตร์ตามแนวทางการสืบเสาะหาความรู้
ร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหา
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ผู้วิจัย นางสาวสุพี สีน้อย
ตำแหน่ง ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ
สถานศึกษา โรงเรียนไพรธรรมคุณวิทยา ตำบลไพร อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ
สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ กระทรวงมหาดไทย
ปีการศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการเรียนคณิตศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2) เพื่อสร้างรูปแบบการเรียนคณิตศาสตร์ตามแนวทางการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 3) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนคณิตศาสตร์ตามแนวทางการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 4) เพื่อประเมินผลการใช้รูปแบบการเรียนคณิตศาสตร์ตามแนวทางการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ 1) การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน 2) การสร้างรูปแบบ 3) การศึกษาผลการใช้รูปแบบ และ 4) การประเมินผลการใช้รูปแบบ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 40 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) เครื่องมือที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ รูปแบบการเรียนคณิตศาสตร์ตามแนวทางการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 2.1) แบบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา เป็นชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จำนวน 25 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.250.84 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.92 2.2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 5 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ มีค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.22-0.76 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบเท่ากับ 0.85 2.3) แบบประเมินผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เป็นชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จำนวน 25 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.260.88 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ t-test Dependent Sample และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis)
ผลการวิจัยปรากฏดังนี้
1. ผลการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะเนื้อหาเรื่องเลขยกกำลังซึ่งเป็นพื้นฐานของการเรียนคณิตศาสตร์ในหลาย ๆ เรื่อง ประกอบกับรายงานผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ปีที่ผ่านมา พบว่า
รายวิชาคณิตศาสตร์ ในสาระจำนวนและการดำเนินการเป็นสาระที่โรงเรียนควรเร่งพัฒนาเนื่องจากคะแนนเฉลี่ยของโรงเรียนต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ เมื่อทำการพิจารณาและสังเคราะห์เนื้อหาแล้วพบว่า เนื้อหาค่อนข้างยาก ส่งผลให้นักเรียนมีพัฒนาการด้านความรู้ ทักษะ และเจตคติไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร นักเรียนมีความท้อแท้ เบื่อหน่าย ขาดแรงจูงใจ และต้องการรูปแบบ วิธีการเรียนรู้แบบใหม่ รวมถึงสื่อ เทคโนโลยีการเรียนรู้ที่หลากหลายยิ่งขึ้น
2. ผลการพัฒนารูปแบบการเรียนคณิตศาสตร์ตามแนวทางการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่า รูปแบบการเรียนรู้ ประกอบด้วย 1) หลักการและความเป็นมา 2) จุดมุ่งหมาย
3) กระบวนการจัดการเรียนรู้ 4) การวัดและประเมินผล และ 5) ปัจจัยความสำเร็จ และมีกระบวนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 การตั้งประเด็นและเร้าความสงสัย (Activate Curiosity & Define Problem) ขั้นที่ 2 การสำรวจ สืบค้น และตรวจสอบ (Exploration & Investigation) ขั้นที่ 3 การทดลอง อธิบาย และขยายความรู้ (Experimentation, Explanation & Elaboration) ขั้นที่ 4 การประเมิน ประยุกต์ และพัฒนา (Application, Development & Evaluation) ขั้นที่ 5 การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และขยายผลสู่สังคม (Sharing & Dissemination to Society) มีผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนรู้ โดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด ( = 4.68, S.D. = 0.57)
3. ผลการใช้รูปแบบการเรียนคณิตศาสตร์ตามแนวทางการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ปรากฏดังนี้
3.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนด้วยที่เรียนด้วย
รูปแบบการเรียนคณิตศาสตร์ตามแนวทางการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3.2 ผลการประเมินความสามารถในการคิดแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนด้วยรูปแบบการเรียนคณิตศาสตร์ตามแนวทางการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.56, S.D.= 0.64)
4. ผลการประเมินผลการใช้รูปแบบการเรียนคณิตศาสตร์ตามแนวทางการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่า รูปแบบการเรียนรู้ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.68, S.D.= 0.55)