ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
การพัฒนาผลการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

สาระประวัติศาสตร์เป็นรายวิชาที่กล่าวถึงเรื่องราวหรือเหตุการณ์ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของมนุษย์ในทุกด้าน (กรมวิชาการ. 2545 : 3–6) ที่มีจุดหมายให้ผู้เรียนมีความรักชาติ ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกัน ในสังคมอย่างมีความสุข ( สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. 2558 : 8) ดังพระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระราชทานเนื่องในวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆเข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2543 ความว่า“ประวัติศาสตร์ของแต่ละชาติทุกชาติเขาก็ทะนุทะถนอมของเขาก็เรียนของเขากัน แม้แต่คนต่างประเทศไปเรียนในประเทศเขา ก็ต้องเรียนประวัติศาสตร์ของเขาด้วย อันนี้ก็แปลกที่เราไม่มี ประวัติศาสตร์ชาติไทย เหมือนอย่างว่าแผ่นดินนี้ได้มาอย่างง่ายๆ ไม่ต้องคิดถึงพระเดชพระคุณของ ปู่ย่าตายายที่บุกบั่นฝ่าฟันมา แม้แต่ชีวิตจะเสียสละให้เพื่อที่จะเป็นหลักประกันของคนไทย ความเป็นจริงแล้วการที่มีแผ่นดินเป็นของตนเอง เป็นการประกันค่อนข้างจะปลอดภัย”(สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. 2558 : บทนำ)

การเรียนรู้สาระประวัติศาสตร์ เป็นลักษณะการเรียนรู้โดยครูผู้สอนบรรยายเนื้อหาจากแบบเรียน และหลักสูตรการศึกษาเป็นการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้เรียนมากกว่า ให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย ส่งผลให้ผู้เรียนไม่เข้าใจและไม่เห็นความสำคัญของการเรียนประวัติศาสตร์(กรมวิชาการ. 2545 : 3–6) นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุทำให้ให้ผู้เรียนมีผลการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ต่ำ ซึ่งสอดคล้องกับระวิวรรณ ภาคพรต, สุมาลี โตสกุล, และเฉลิมชัย พันธ์เลิศ, บรรณาธิการ, (2554 : 42) ที่กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เน้นวิธีการสอนด้วยการบรรยาย การเล่าเรื่อง กิจกรรมการเรียนการสอนส่วนใหญ่ยังยึดเอกสาร มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด ไม่สอดคล้องกับ วิธีสอนและเนื้อหาที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จึงมีผลทำให้ผู้สอนและผู้เรียนขาดปฏิสัมพันธ์ในกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนมิได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สำคัญ ผู้เรียนกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนไม่มีกิจกรรมในการทำงานร่วมกัน

วิธีสอนแบบโครงงาน เป็นการใช้วิธีการสอนแบบโครงงานบูรณาการในรายวิชาประวัติศาสตร์ เพื่อให้ผู้เรียนได้ประยุกต์ความรู้ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์กระบวนการแก้ปัญหาและตัดสินใจ การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง การทำงาน เป็นกลุ่ม การนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการเรียนรู้โดยยึดหลักการการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (อารีรัตน์ วัฒนสิน, 2550 : 3) ซึ่งสอดคล้องกับ โกวิท ประวาลพฤกษ์, (2545 : 5) ที่กล่าวไว้ว่าการเรียนรู้โดยโครงงานเป็นกิจกรรมที่นำไปสู่ การพัฒนาสมองได้เป็นอย่างดี ผู้เรียนต้องใช้วิธีการเรียนรู้อย่างหลากหลาย การทำงานเป็นกลุ่ม การร่วมมือทำงาน ปัจจุบันการสอนประวัติศาสตร์ไม่ได้เน้นการท่องจำหรือให้ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีเหตุผลเชื่อถือได้ โดยอาศัยวิธีการทางประวัติศาสตร์ (ณรงค์ พ่วงพิศ และคณะ. 2548 : 2) ซึ่งเป็นวิธีสอนที่มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้มีเหตุผล รู้จักและสามารถทำงานอย่างเป็นระบบ จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะประยุกต์ใช้ แนวคิดการสอนแบบโครงงานและการสอนแบบวิธีการทางประวัติศาสตร์มาใช้ในการพัฒนาผลการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ผลการวิจัยจะได้เป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมและลงมือปฏิบัติจริงทุกขั้นตอนและฝึกให้ผู้เรียนเกิดทักษะการแก้ปัญหา โดยใช้กระบวนการและวิธีการที่เป็นขั้นตอนเพื่อพัฒนาศักยภาพ การเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้มีผลการเรียนรู้ประวัติศาสตร์อยู่ในเกณฑ์ที่สูงขึ้น

วัตถุประสงค์การวิจัย

1. เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาผลการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

2. เพื่อศึกษาผลผลการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง

การพัฒนาผลการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยได้ศึกษาวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

1. ความสำคัญของประวัติศาสตร์ คือ ประวัติศาสตร์สอนให้รู้จักตนเอง รู้ประวัติความเป็นมาของท้องถิ่นและประเทศชาติของตน เกิดความรักความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษที่ก่อตั้งชาติบ้านเมือง ยังความเป็นปึกแผ่นดำรงเอกราชมาจนปัจจุบัน และการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ยังฝึกให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของข้อเท็จจริงและหลักฐาน ผู้เรียนให้เป็นนักคิด และมีเหตุผล

2. สาระการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ เป็นสาระหนึ่งในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามที่ระบุไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 คือ สาระการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ มีความสำคัญว่าด้วยเหตุการณ์ที่เป็นมาหรือเรื่องราวของประเทศชาติ เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในด้านความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ อย่างเป็นระบบ เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก ความภูมิใจและธำรงความเป็นไทย

3. กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและเน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองสนใจ อยากรู้คำตอบ โดยมีวิธีการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ เพื่อหาคำตอบจนสามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่สำหรับตนเอง ตามกิจกรรมต่างๆที่ได้ปฏิบัติด้วยตนเองอย่างเต็มตามศักยภาพ ส่วนการสอนด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ เป็นวิธีการแสวงหาความรู้ ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าหาคำตอบอย่างมีลำดับขั้นตอน คือขั้นกำหนดปัญหา และตั้งสมมติฐาน ขั้นรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในการแก้ปัญหา ขั้นวิเคราะห์และประเมินคุณค่าข้อมูลหรือหลักฐาน ขั้นตีความและสังเคราะห์ ขั้นนำเสนอผลการค้นคว้า ผู้วิจัยสรุปได้ว่ากระบวนการเรียนรู้แบบโครงงาน และวิธีการทางประวัติศาสตร์ จึงเป็นกิจกรรมกรรมการเรียนรู้ที่ฝึกให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ในสิ่งที่ตนเองสนใจ อยากรู้คำตอบ โดยมีวิธีการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ ให้นักเรียนได้ฝึกทักษะใน การค้นคว้าข้อเท็จจริงและศึกษาเหตุผลด้วยตนเองตามขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์

4. แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือในการจัดกระบวนการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนได้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ครูผู้สอนได้กำหนดไว้ มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ที่องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรม การเรียนรู้ สื่ออุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลและสุดท้ายคือ บันทึกผลหลัง การจัดการเรียนรู้

5. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือคุณลักษณะหรือพฤติกรรม รวมไปถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นของผู้เรียน หลังจากกระบวนการจัดการเรียนการสอนได้สิ้นสุดลง เช่น คะแนน เกรด คุณลักษณะที่พึงประสงค์ การวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นการวัดความรู้ความสามารถของผู้เรียนในด้านพุทธิพิสัย ได้แก่ ความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า ด้านทักษะพิสัย และด้านจิตพิสัย

วิธีดำเนินการวิจัย

1. การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เครื่องมือที่ใช้คือ แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้

2. การศึกษาผลการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เครื่องมือที่ใช้คือ แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ แบบสังเกตพฤติกรรมด้านทักษะกระบวนการ และแบบประเมินด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์

ผลการวิจัย

1. ผลการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยได้ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ศึกษามาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด หน่วยการเรียนรู้ หนังสือเรียนและคู่มือสาระการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี รูปแบบในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ แบบโครงงานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ศึกษาแนวทางในการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ แล้วดำเนินการพัฒนาจนได้แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 3 แผน ใช้เวลาเรียน 3 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย ชื่อแผนการจัดการเรียนรูสาระสำคัญ จุดประสงค์สาระการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อประกอบ และ การวัดและประเมินผล

2. ผลการพัฒนาผลการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่านักเรียนมีผลการเรียนรู้ที่สูงขึ้น

สรุปผลการวิจัย

1. แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 3 แผน ใช้เวลาเรียน 3 ชั่วโมง ประกอบด้วย ชื่อแผนการจัดการเรียนรูสาระสำคัญ จุดประสงค์สาระการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อประกอบ และการวัดและประเมินผล โดยภาพรวมแผนการจัดการเรียนรู้ดังกล่าวมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก

2. ผลการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่านักเรียนมีผลการเรียนรู้ที่สูงขึ้น

อภิปรายผล

1. ผลการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนพบว่านักเรียนมีผลการเรียนรู้ที่สูงขึ้น โดยแผนการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ มีจำนวน 3 แผน ใช้เวลาเรียน 3 ชั่วโมง ประกอบด้วย ชื่อแผนการจัดการเรียนรูสาระสำคัญ จุดประสงค์สาระการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อประกอบ การวัดและประเมินผล และผลการประเมินแผนการจัดการเรียนรู้พบว่า การประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความเหมาะสมในระดับมาก เนื่องจากระบวนการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยได้พัฒนาตามขั้นตอนการจัดทำอย่างมีระบบ และวิธีการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม โดยศึกษาจากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตร การวิเคราะห์เนื้อหา เทคนิคการจัดการเรียนรู้ ตลอดจนการวัดและประเมินผล เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ ดังที่ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (2551, น. 20) ได้กล่าวถึงขั้นตอนในการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ว่า ในการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้นั้นผู้ศึกษาจะต้องมีการวิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษาให้เข้าถึงมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด สมรรถนะของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์และสาระการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลเพื่อที่ผู้เรียนจะได้พัฒนาเต็มศักยภาพและบรรลุเป้าหมายที่กำหนด และสอดคล้องกับ ฤดี เชยเดช (2557, น. 30) ที่กล่าวว่า ขั้นตอนการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนจะต้องดำเนินการตามลำดับ ดังนี้คือ ศึกษาหลักสูตร วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง สาระการเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ กระบวนการวัดและประเมินผล แหล่งเรียนรู้ ทุกกระบวนการให้สอดคล้องกับสภาพนักเรียน

2. ผลการศึกษาผลการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า นักเรียนมีผลการเรียนรู้ที่สูงขึ้น แสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ ดีกว่าการเรียนรู้แบบปกติ ทั้งนี้เนื่องจากแผนการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงาน ร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ ทำให้นักเรียนสามารถสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง ศึกษาค้นคว้าข้อมูล ทำงานร่วมกับเพื่อน ซึ่งสอดคล้องกับ โกวิท ประวาลพฤกษ์, (2545 : 5) ที่กล่าวไว้ว่าการเรียนรู้โดยโครงงานเป็นกิจกรรมที่นำไปสู่การพัฒนาสมองได้เป็นอย่างดี ผู้เรียนต้องใช้วิธีการเรียนรู้อย่างหลากหลาย ทำให้สมองทำงานทุก ๆ ส่วน การทำงานเป็นกลุ่ม การร่วมมือทำงาน และยังสอดคล้องกับ งานวิจัยของ รุ่งนภา สรรค์สวาสดิ์,(2550 : 100) ที่วิจัยเรื่องการพัฒนาความสามารถในการทำโครงงาน เรื่องการดำรงชีวิตและครอบครัว สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยวิธีการเรียนรู้แบบโครงงาน ที่ผลการทดลองพบว่า ผลการเรียนรู้เรื่องการดำรงชีวิตและครอบครัวที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานก่อนและหลังเรียน โดยภาพรวมนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และยังสอดคล้องกับ อำภาพร ระนาฏศิลป์ (2554, น 92-94) ได้ศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนรายงานค้นคว้า สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน พบว่า นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ต้องอาศัยการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง และศึกษาค้นคว้าจากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย นักเรียนสามารถแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง มีทักษะในการทำงานกลุ่มมากขึ้น มีผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ.05 ในส่วนของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ โดยอาศัยวิธีการทางประวัติศาสตร์ สามารถฝึกให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของข้อเท็จจริงและหลักฐาน ฝึกให้ผู้เรียนให้เป็นนักคิด และมีเหตุผล

โพสต์โดย กัลยา ภู่ทอง : [25 มี.ค. 2564 เวลา 10:18 น.]
อ่าน [3178] ไอพี : 1.47.233.252
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 18,707 ครั้ง
นวดแก้ปวดไม่ใช้มือ ศาสตร์บำบัดล้านนา
นวดแก้ปวดไม่ใช้มือ ศาสตร์บำบัดล้านนา

เปิดอ่าน 10,564 ครั้ง
สุดยอด "สุวรรณภูมิ-พารากอน" คว้าแชมป์สถานที่ที่มีคนแชร์รูปผ่านอินสตาแกรมมากที่สุดในปี 2012
สุดยอด "สุวรรณภูมิ-พารากอน" คว้าแชมป์สถานที่ที่มีคนแชร์รูปผ่านอินสตาแกรมมากที่สุดในปี 2012

เปิดอ่าน 41,391 ครั้ง
โบราณคดีพระราชวังจันทร์ พิษณุโลก
โบราณคดีพระราชวังจันทร์ พิษณุโลก

เปิดอ่าน 31,681 ครั้ง
ม่วงส่าหรี
ม่วงส่าหรี

เปิดอ่าน 1,438 ครั้ง
5 วิธีปกป้องตนเองไม่ตกเป็นเหยื่อบนโลกออนไลน์
5 วิธีปกป้องตนเองไม่ตกเป็นเหยื่อบนโลกออนไลน์

เปิดอ่าน 9,962 ครั้ง
จุฬาฯ ฉลอง อันดับ 138 มหาวิทยาลัย ชั้นนำของโลก
จุฬาฯ ฉลอง อันดับ 138 มหาวิทยาลัย ชั้นนำของโลก

เปิดอ่าน 14,937 ครั้ง
เสียงประทัดส่งผลกระทบผู้ป่วย "โรคหัวใจ-ความดันโลหิต"
เสียงประทัดส่งผลกระทบผู้ป่วย "โรคหัวใจ-ความดันโลหิต"

เปิดอ่าน 16,780 ครั้ง
Microsoft Office สำหรับไอแพด
Microsoft Office สำหรับไอแพด

เปิดอ่าน 8,852 ครั้ง
10 บัญญัติขจัดโรคน้ำท่วม
10 บัญญัติขจัดโรคน้ำท่วม

เปิดอ่าน 29,330 ครั้ง
การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อการศึกษาคุณภาพ : ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย
การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อการศึกษาคุณภาพ : ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย

เปิดอ่าน 41,256 ครั้ง
คำแนะนำสำหรับนักเรียน และ ครูผู้สอน ในการสอบ O-NET วิชาภาษาไทย รูปแบบข้อสอบอัตนัย
คำแนะนำสำหรับนักเรียน และ ครูผู้สอน ในการสอบ O-NET วิชาภาษาไทย รูปแบบข้อสอบอัตนัย

เปิดอ่าน 7,027 ครั้ง
เกาะติดการปิดเปิดเทอม มหาวิทยาลัยไทยตามอาเซียน
เกาะติดการปิดเปิดเทอม มหาวิทยาลัยไทยตามอาเซียน

เปิดอ่าน 11,999 ครั้ง
เคล็ดลับความอ่อนเยาว์ของสาวเอเชีย
เคล็ดลับความอ่อนเยาว์ของสาวเอเชีย

เปิดอ่าน 8,241 ครั้ง
ยันแก๊สโซฮอล์ ไม่ได้ก่อมลพิษฯ ทำให้เกิดมะเร็ง
ยันแก๊สโซฮอล์ ไม่ได้ก่อมลพิษฯ ทำให้เกิดมะเร็ง

เปิดอ่าน 68,917 ครั้ง
วิธีลดธงครึ่งเสาที่ถูกต้อง
วิธีลดธงครึ่งเสาที่ถูกต้อง

เปิดอ่าน 12,271 ครั้ง
"นอสตราดามุสหญิง" เมืองไทย
"นอสตราดามุสหญิง" เมืองไทย
เปิดอ่าน 14,110 ครั้ง
ทำอย่างไรเมื่อคุณก้าวเข้าสู่วิกฤตวัยกลางคน (midlife crisis)
ทำอย่างไรเมื่อคุณก้าวเข้าสู่วิกฤตวัยกลางคน (midlife crisis)
เปิดอ่าน 210,355 ครั้ง
เทคนิคการคิดเลขเร็ว
เทคนิคการคิดเลขเร็ว
เปิดอ่าน 16,431 ครั้ง
จริงไหม? ...กินไก่แล้วทำให้ลูกเป็นสาวเร็ว หรือทำให้หน้าอกใหญ่จริงหรือ?
จริงไหม? ...กินไก่แล้วทำให้ลูกเป็นสาวเร็ว หรือทำให้หน้าอกใหญ่จริงหรือ?
เปิดอ่าน 14,968 ครั้ง
ปีใหม่แล้ว.....แต่การศึกษาไทยยังบ้าไม่เลิก!
ปีใหม่แล้ว.....แต่การศึกษาไทยยังบ้าไม่เลิก!

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ