การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันปัญหาและความต้องการจำเป็นในการนิเทศภายในสถานศึกษา สร้างและตรวจสอบคุณภาพรูปแบบการนิเทศแบบพัฒนาการ ทดลองใช้และศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบการนิเทศแบบพัฒนาการ และประเมินรูปแบบการนิเทศแบบพัฒนาการ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โรงเรียนพรานวิบูลวิทยา ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนโรงเรียนพรานวิบูลวิทยา จำนวน 34 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบประเมิน จำนวน 7 ชุด ได้แก่ 1) แบบบันทึกข้อมูลการสนทนาเกี่ยวกับการนิเทศ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2) แบบสอบถามเกี่ยวกับความต้องการในการนิเทศภายในสถานศึกษา เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบประเมินคุณภาพของรูปแบบการนิเทศแบบพัฒนาการ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4) แบบสังเกตพฤติกรรมผู้บริหาร ผู้นิเทศ และผู้รับการนิเทศ 5) แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบการนิเทศแบบพัฒนาการ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 6) แบบสอบถามความพึงพอใจของครูที่มีต่อการนิเทศแบบพัฒนาการ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 7) แบบประเมินรูปแบบการนิเทศแบบพัฒนาการ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา บรรยายสรุปในเชิงพรรณนา และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัย พบว่า
1. สาเหตุของปัญหาที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ปัญหานักเรียนติด 0 ร มส. นักเรียนไม่จบการศึกษาพร้อมรุ่นตามหลักสูตร พบว่า มีสาเหตุ 3 ประการคือ 1) สาเหตุจากตัวนักเรียน ได้แก่ ลักษณะหรือพฤติกรรมส่วนตัวที่ไม่เหมาะสม พื้นฐานทางการเรียนเดิม นิสัยในการเรียน การมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการเรียน 2) สาเหตุมาจากลักษณะครอบครัวของนักเรียน และ 3) สาเหตุมาจากการจัดการศึกษาของโรงเรียน สำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ ที่ประชุมเห็นว่า ควรดำเนินการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การบริหารจัดการศึกษาในสถานศึกษา เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยการนิเทศภายในสถานศึกษาทั้งระบบ จึงจะเกิดผลสำเร็จได้ แต่การนิเทศภายในสถานศึกษาโรงเรียน พรานวิบูลวิทยาในปัจจุบันพบว่า การดำเนินการยังไม่ประสบผลสำเร็จและไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ ผู้บริหารและครูผู้สอนจึงมีความต้องการในการนิเทศภายในสถานศึกษาตามแนวคิดการนิเทศแบบพัฒนาการของกลิคแมน 5 ด้าน คือ การให้ความช่วยเหลือแก่ครูโดยตรง การพัฒนาทักษะการทำงานกลุ่ม การเสริมสร้างประสบการณ์ทางวิชาชีพ การพัฒนาหลักสูตร การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
2. ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า รูปแบบการนิเทศแบบพัฒนาการ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โรงเรียนพรานวิบูลวิทยา และคู่มือการใช้รูปแบบฯ ที่สร้างขึ้น มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านที่มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านจุดประสงค์ในการสร้างรูปแบบการนิเทศแบบพัฒนาการ ด้านความเหมาะสมในการพิมพ์และรูปเล่ม ด้านความชัดเจนของเนื้อหาในการใช้รูปแบบการนิเทศภายในสถานศึกษา ด้านความชัดเจนในการใช้ภาษา ยกเว้น ด้านความสะดวกในการนำรูปแบบการนิเทศภายในสถานศึกษาไปใช้ ซึ่งมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก
3. ผลจากการทดลองใช้รูปแบบการนิเทศแบบพัฒนาการ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โรงเรียนพรานวิบูลวิทยา พบว่า 1) ผู้บริหารและครูผู้นิเทศ ครูผู้สอนซึ่งเป็นผู้รับการนิเทศ สามารถดำเนินการและปฏิบัติตามรูปแบบการนิเทศแบบพัฒนาการได้ 2) ผู้บริหารและครูผู้สอนมีความเห็นว่า การปฏิบัติการนิเทศแบบพัฒนาการ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทั้ง 5 ด้าน มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด 4 ด้าน คือ การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน การพัฒนาหลักสูตร การเสริมสร้างประสบการณ์ทางวิชาชีพ และการให้ความช่วยเหลือแก่ครูโดยตรง ส่วนด้านการพัฒนาทักษะการทำงานกลุ่ม เห็นว่ามีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก 3) ครูมีความพึงพอใจต่อการดำเนินการนิเทศตามกระบวนการนิเทศแบบพัฒนาการ อยู่ในระดับมากที่สุด 4) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในปีการศึกษา 2555 2557 ของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้สูงขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง 5) ร้อยละนักเรียนที่ติด 0 ร และ มส. ใน ปีการศึกษา 2555 2557 ของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปีและต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 6) ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนพรานวิบูลวิทยา ระหว่างปีการศึกษา 2555 ถึงปีการศึกษา 2557 โดยรวมทุกวิชาคะแนนเฉลี่ยมีพัฒนาการก้าวหน้าสูงขึ้น มีคะแนนถ่วงน้ำหนักตามเกณฑ์การประเมินคุณภาพภายนอกรอบสามของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) ในปีการศึกษา 2557 เท่ากับ 8.69 อยู่ในระดับคุณภาพพอใช้ และนักเรียนมีความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ผ่านเกณฑ์การประเมินคิดเป็นร้อยละ 97.03
4. รูปแบบการนิเทศแบบพัฒนาการ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน คือ มาตรฐานด้านความถูกต้อง มาตรฐานด้านความเป็นไป มาตรฐานด้านความเหมาะสม และมาตรฐานด้านความเป็นประโยชน์ โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย
5. ผลจากการพัฒนารูปแบบฯ ดังกล่าว ทำให้ได้รูปแบบการนิเทศภายในสถานศึกษา เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โรงเรียนพรานวิบูลวิทยามีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย
5.1 การให้ความช่วยเหลือแก่ครูโดยตรง ประกอบด้วย การวางแผนร่วมกับครูในการให้ความช่วยเหลือ เข้าไปมีส่วนร่วมกับครูเพื่อช่วยเหลือ สรุปผลการช่วยเหลือและวางแผนที่จะประชุมตรวจสอบความช่วยเหลือร่วมกับครู การประชุมวิเคราะห์ผลการช่วยเหลือร่วมกับครู ประชุมสรุปและวิเคราะห์กระบวนการช่วยเหลือครูทุกขั้นตอนเพื่อวิเคราะห์จุดเด่น จุดด้อยของกระบวนการ
5.2 การพัฒนาทักษะการทำงานกลุ่ม ประกอบด้วย การพัฒนาครูให้มีศักยภาพในการแสวงหาความรู้และประสบการณ์ การสร้างวินัยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในทีมงาน การกำหนดปัญหาและเป้าหมายการแก้ปัญหาร่วมกัน การวางแผนและดำเนินการแก้ปัญหาของทีมงาน การสร้างแรงจูงใจ การเสริมแรงและสร้างขวัญกำลังใจ
5.3 การเสริมสร้างประสบการณ์ทางวิชาชีพ ประกอบด้วย สำรวจความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน พัฒนาความสามารถในการสอนให้สามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้เทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ การจัดกิจกรรมสัมมนาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พัฒนาคุณธรรม จริยธรรมตามมาตรฐานวิชาชีพครู
5.4 การพัฒนาหลักสูตร ประกอบด้วย การเตรียมความพร้อมของสถานศึกษา การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา วางแผนการดำเนินการใช้หลักสูตร ดำเนินการบริหารหลักสูตร การนิเทศ กำกับ ติดตามและประเมินผล สรุปผลการดำเนินการบริหารจัดการหลักสูตรของสถานศึกษา การปรับปรุง พัฒนากระบวนการบริหารจัดการหลักสูตร โดยการติดตามประเมินผล การเปลี่ยนแปลงการพัฒนาของนักเรียน จะทำให้ทราบปัญหาข้อบกพร่องของหลักสูตรเป็นข้อมูลย้อนกลับในการนำมาพิจารณาถึงการพัฒนาหลักสูตร
5.5 การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน ประกอบด้วย การกำหนดปัญหา หรือ เป้าหมายการวิจัย การกำหนดวิธีการวิจัย หรือวิธีหาคำตอบ หรือวิธีการแก้ปัญหาหรือพัฒนางาน การรวบรวมข้อมูลตามวิธีการที่กำหนด การวิเคราะห์ข้อมูล การสรุปและเขียนรายงานเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน