ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ผู้วิจัย นางพิชชาภรณ์ ปะตังถาโต
สถานศึกษา โรงเรียนบ้านเม่นใหญ่ ตำบลแก่งเลิงจาน อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 1
ปีที่วิจัย ปีการศึกษา 2559
บทคัดย่อ
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเม่นใหญ่ เป็นการวิจัยและพัฒนา (research and development) ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอน คือ 1) การวิจัย (research) เป็นการศึกษาข้อมูลพื้นฐานในกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ของนักเรียนในสังคมพหุ วัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) เป็นการพัฒนา (development เป็นการสร้างและหาประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยใช้ชุดฝึกทักษะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามเกณฑ์ 75/75 3) การวิจัย (research) เป็นการทดลองใช้พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเม่นใหญ่ 4) เป็นการพัฒนา (development) เป็นการประเมินและปรับปรุงพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเม่นใหญ่ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนบ้านเม่นใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 1 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 7 คน แบบแผนในการวิจัย ใช้การทดลองแบบ pre experimental design โดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ จำนวน 19 แผน 2) แบบทดสอบ จำนวน 7 ชุด ดังนี้ (2.1) แบบทดสอบย่อยหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ แบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 6 ชุดๆ ละ 10 ข้อ ๆ ละ 1 คะแนน (2.2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ แบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 1 ชุด 30 ข้อละ 1 คะแนน 3) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับนักเรียน ประกอบด้วย (3.1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ (3.2) แบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และแบบประเมินพฤติกรรมด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (3.3) แบบวัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ 4) เครื่องมือทีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพสำหรับนักเรียน ประกอบด้วย (4.1) แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนของนักเรียน (4.2) แบบสัมภาษณ์นักเรียนเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ (4.3) แบบบันทึกภาคสนามของผู้วิจัย 5) แบบสอบถามวัดความพึงพอใจในการเรียน เป็นแบบสอบถาม เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) จำนวน 1 ชุด 15 ข้อ การวิจัยครั้งนี้ การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเม่นใหญ่ โดยการศึกษาความคิดเห็นและข้อมูลพื้นฐานต่าง ๆ แล้วนำมาพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเม่นใหญ่ มีเนื้อหาประกอบด้วย 6 หน่วยการเรียนรู้ คือ วงจรไฟฟ้า การทำแม่เหล็กไฟฟ้า หินในท้องถิ่น ธรณีพิบัติภัย ปรากฏการณ์ของโลกเทคโนโลยีอวกาศ ซึ่งแต่ละหน่วยการเรียนรู้ได้จัดทำเป็นคู่มือครู ประกอบด้วย คำนำ วัตถุประสงค์ การออกแบบการเรียนรู้ คำชี้แจงในการใช้คู่มือครู บทบาทของครู ใบความรู้ แบบประเมินผลงานนักเรียน แบบทดสอบย่อย เฉลยแบบทดสอบย่อย วิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้ค่าสถิติร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าทดสอบค่าที (t-test) แบบ dependent และการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) แล้วนำเสนอแบบพรรณาความและตาราง
สรุปผลการวิจัย
จากการวิจัยครั้งนี้สามารถสรุปได้ดังนี้
1. ผลศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้าน เม่นใหญ่ พบว่า ผู้เรียนและผู้ที่เกี่ยวข้องเห็นว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย มีตัวอย่าง ลักษณะของรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ มีเนื้อหาที่ให้ความรู้ในเรื่อง ๆ นั้น ที่เหมาะสม มีภาพประกอบและสีสันสวยงาม มีแบบทดสอบท้ายบทเรียน มีตัวอย่างในการทำแบบฝึกหัด ด้านเนื้อหา นอกจากเนื้อหาในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 แล้วควรเพิ่มเติมหรือแทรกเนื้อหาให้สอดคล้องกับการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่อง วงจรไฟฟ้า การทำแม่เหล็กไฟฟ้า หินในท้องถิ่น ธรณีพิบัติภัย ปรากฏการณ์ของโลก เทคโนโลยีอวกาศ ด้านการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ไปใช้ การจัดการเรียนการสอนโดยการจัดเป็นกลุ่ม เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ เรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นรายบุคคล เรียนรู้แบบกลุ่มย่อย 2 คน มีการวัดผลและประเมินผลครอบคลุมด้านความรู้ ทักษะกระบวนการและเจตคติ โดยใช้เครื่องมือที่หลากหลาย เช่น แบบฝึกหัด แบบทดสอบ และแบบประเมินผลงาน
2. ผลการพัฒนา (development) การพัฒนาและหาประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า ประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ผู้วิจัยสร้างและพัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 82.15/81.78 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 75/75
3. ผลการทดลองรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง วิทยาศาสตร์น่ารู้ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผู้วิจัยได้นำไปทดลองกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6โรงเรียนบ้านเม่นใหญ่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 1 จำนวน 7 คน ซึ่งใช้เวลาในการปฏิบัติการสอนตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ จำนวน 34 ชั่วโมง ผลการทดลองใช้ พบว่า
3.1 ผลการทดลองใช้ พบว่า นักเรียนส่วนมาก มีความสนใจ กระตือรือร้นในการเรียนรู้ด้วยชุดฝึกทักษะการคิด มีทักษะการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง มีความสุข สนุกกับการเรียน มีความรับผิดชอบในการเรียนรู้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ที่นำมาทดลองใช้ สามารถนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมาประกอบการเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ สามารถนําไปใช้กับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเม่นใหญ่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 1 นักเรียนเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ตามขั้นตอนกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ นักเรียนมีความกระตือรือร้น ให้ความสนใจและมีส่วนร่วมในกิจกรรม กล้าแสดงออก มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันและยอมรับความแตกต่างของเพื่อนร่วมชั้นเรียน
3.2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนการพัฒนาและหลังการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 คะแนนเฉลี่ย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 โดยมีค่า t เท่ากับ 2.60
3.3 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน บ้านเม่นใหญ่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 1 หลังการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ่
3.4 เจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเม่นใหญ่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 1 หลังการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา
ความรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3.5 ค่าเฉลี่ยของความพึงพอใจในการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการพัฒนารูปแบบการสอนวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.50 ,S.D.= 0.72) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.72 แสดงว่า นักเรียนมีความพึงพอใจมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อนักเรียนมีความพึงพอใจมากที่สุด จำนวน 9 ข้อ พึงพอใจมาก จำนวน 6 ข้อ
4. ผลการประเมินและปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง วิทยาศาสตร์น่ารู้ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า นักเรียนมีผลการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ก่อนเรียนและหลังเรียนที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 โดยผลการเรียนรู้ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน