บทคัดย่อ
รายงานการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง สารเสพติด โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 วัตถุประสงค์การวิจัยได้แก่ 1)เพื่อศึกษาปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ของครูที่สอนในโรงเรียนสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี 2)เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง สารเสพติด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 3)เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง สารเสพติด โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 4)เพื่อหาค่าประสิทธิผลของชุดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง สารเสพติด โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 5)เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง สารเสพติด โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ 1)ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรียนสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 10 โรงเรียนๆ ละ 3 คน รวม 30 คน กำหนดเอาประชากรเป็นกลุ่มตัวอย่าง 2)นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนห้วยข่าพิทยาคม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 33 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบง่าย (Simple Random Sampling) ใช้วิธีจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ 1)แบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ สุขศึกษาและพลศึกษา ระดับ ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจำนวน 22 ข้อ ค่าความเหมาะสมเท่ากับ 4.65 ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.9874 2)แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง สารเสพติด โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning)ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 10 แผน ค่าความเหมาะสมเท่ากับ 4.58 3)ชุดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง สารเสพติด โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 10 ชุด ค่าความเหมาะสมเท่ากับ 4.68 ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 ค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.9874 4)แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง สารเสพติด โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 40 ข้อ ค่า IOC เท่ากับ 0.87 ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 ค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.8758 5)แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง สารเสพติด โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ชั้นมัธยม ศึกษาปีที่ 2 จำนวน 21 ข้อ ค่าความเหมาะสมเท่ากับ 4.64 ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.9264 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน กลุ่มสาระสุขศึกษาและพลศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และความพึงพอใจของนักเรียน ใช้แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pre-test Post-test Design ทดสอบก่อนการทดลอง (Pre-test) ทดลองสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ (Treatment) และทดสอบหลังการทดลอง (Post-test) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ E1/E2 หาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ใช้ t-test ทดสอบสมมติฐานเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดประสบการณ์และเปรียบเทียบความพึงพอใจของนักเรียน ใช้ E.I. วิเคราะห์ดัชนีประสิทธิผลของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ใช้ IOC วิเคราะห์ค่าความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจัดประสบการณ์ ใช้สถิติของแบรนแนน (Brennan) หาค่าอำนาจจำแนก (B) ค่าความยากง่าย (p) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ใช้สถิติตามวิธีของโลเวท (Lovett) หาความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบสอบถามปัญหาการจัดการเรียนการสอนและแบบสอบถามความพึงพอใจ ใช้วิธี Itemtotal Correlation สหสัมพันธ์อย่างง่ายของ Pearson วิเคราะห์ค่าอำนาจจำแนก (B) ของแบบสอบถามเป็นรายข้อ ใช้วิธีของโลเวท (Lovett) วิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่น ของแบบสอบถามทั้งฉบับ (rcc) และใช้สถิติพื้นฐานวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย (X-bar) ร้อยละ (P) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัย พบว่า
1. โดยรวมทุกสถานะมีปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ สุขศึกษาและพลศึกษาโดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด
2. โดยรวมประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 89.12 คิดเป็นร้อยละ 89.12
3. ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง สารเสพติด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) เท่ากับ 88.18 / 86.21 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้
4. ประสิทธิผลของชุดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง สารเสพติด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) เท่ากับ 0.7510 แสดงว่าชุดกิจกรรมการเรียนรู้ชุดนี้ทำให้นักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนรู้เพิ่มสูงขึ้นคิดเป็นร้อยละ 75.10 สูงกว่าเกณฑ์ที่ยอมรับได้
5. การเปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้
6. โดยรวมความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง สารเสพติด โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( =4.38) โดยนักเรียนชายมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจสูงกว่านักเรียนหญิง และระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.19) โดยค่าเฉลี่ยความพึงพอใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เมื่อเปรียบเทียบระหว่างความพึงพอใจระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า ความพึงพอใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้