ครูบ้านนอก

ผลงานที่ประสบความสำเร็จทางด้านการสอน

๑. ชื่อผลงาน หนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒

๒. เอกสารสรุปผลงานตามข้อที่ ๑ โดยให้รายงานตามกรอบการนำเสนอ ดังนี้

๑) ความเป็นมา/แนวคิด

ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทยเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงานและดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาชาติได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆ เพื่อพัฒนาความรู้ ความคิด วิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้า ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคง ทางสังคมและเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อที่แสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี ชีวทัศน์ โลกทัศน์ และสุนทรียภาพ โดยบันทึกไว้เป็นวรรณคดีและวรรณกรรมอันล้ำค่า ภาษาไทยจึงเป็นสมบัติของชาติที่ควรค่าแก่การเรียนรู้ เพื่ออนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป (กระทรวงศึกษาธิการ,๒๕๕๑: หน้า ๑)

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กำหนดวิชาภาษาไทยเป็นกลุ่มสาระหลัก ในการจัดการศึกษาสำหรับนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนเมื่อมีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล และคิดอย่างมีระบบ มีนิสัยรักการอ่าน การเขียน ฟัง พูด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล และคิดอย่างมีระบบ มีนิสัยรักการอ่าน การเขียน การแสวงหาความรู้และการใช้ภาษาตระหนักในวัฒนธรรมการใช้ภาษาและความเป็นไทยภูมิใจและชื่นชมในวรรณคดีและวรรณกรรม ซึ่งเป็นเป็นภูมิปัญญาของคนไทยสามารถนำทักษะทางภาษามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และถูกต้องตามสถานการณ์ และบุคคล (กระทรวงศึกษาธิการ. ๒๕๔๕ : ๒)

นอกจากนี้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.๒๕๕๑ ยังกำหนดสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนไว้ ๕ ประการ คือ ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ซึ่งสมรรถนะของผู้เรียนทั้ง ๕ ประการนี้ เป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้วิชาภาษาไทยทั้ง ๕ สาระการเรียนรู้ คือ สาระที่ ๑ การอ่าน สาระที่ ๒ การเขียน สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษา สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม ทั้งนี้เพราะภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ ผู้เรียนต้องศึกษาเรียนรู้ เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การอ่านเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยปรับและขยายประสบการณ์ของมนุษย์ ทั้งยังช่วยให้สามารถใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และสร้างความเพลิดเพลินจากหนังสือ เอกสาร สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ได้มากและเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าความสำเร็จในการเรียนของเด็กส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการอ่าน คืออ่านช้า ขาดความเข้าใจในการอ่าน และไม่สามารถจดจำเรื่องที่อ่านได้ ย่อมทำให้การเรียนวิชาต่าง ๆ ไม่ได้ผลไปด้วย ทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายวิตกกังวลหรือเกิดความท้อแท้ไม่อยากเรียนต่อไป การอ่าน จึงเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่ความรู้ความเข้าใจในวิชาการต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น การอ่าน จะช่วยทำให้นักเรียนค้นหาความรู้เพิ่มเติมในสิ่งที่ตนอยากรู้ ขยายความรู้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ฉะนั้นการอ่านจึงเป็นบันไดไปสู่ความสำเร็จอีกหลายด้าน

กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีนโยบายให้ครูผู้สอน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องสร้างหนังสือส่งเสริมการอ่านมาใช้ในโรงเรียนได้ เพราะหนังสือส่งเสริมการอ่านเป็นหนังสือที่จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เน้นไปทางส่งเสริมให้ผู้อ่านเกิดทักษะในการอ่าน และมีนิสัยรักการอ่านมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้หนังสือส่งเสริมการอ่านยังเป็นหนังสือที่สามารถสร้างให้สอดคล้อง และเหมาะสมกับสภาพความต้องการของแต่ละท้องถิ่น และยังสามารถสร้างให้มีเนื้อหาสาระกว้างขวางออกไปนอกเหนือจากหนังสือแบบเรียน

หนังสือส่งเสริมการอ่านนับได้ว่าเป็นสื่อการเรียนการสอนทางเลือกหนึ่ง ที่ใช้พัฒนาการอ่านเชิงวิเคราะห์ได้เป็นอย่างดี เพราะหนังสือส่งเสริมการอ่านเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการสอนภาษาและเป็นหนังสือที่เหมาะสม ตรงกับความต้องการของเด็ก มีรูปภาพสวยงามที่เร้าความสนใจของนักเรียน (จินตนา ใบกาซูยี,๒๕๓๗)

การสร้างหนังสืออ่านเพิ่มเติมที่ดี ต้องคำนึงถึงหลักการและทฤษฏีที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ โดยทฤษฎีการเรียนรู้ที่สำคัญและควรคำนึงถึงได้แก่ ทิศนา แขมมณี (๒๕๕๐ :๖๔-๖๘) ได้สรุปทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory) ของเพียเจต์ (Piaget) ได้ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านความคิดของเด็กว่ามีขั้นตอนหรือกระบวนการอย่างไร ทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็นพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม เขาอธิบายว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งจะมีพัฒนาการไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ามจากพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง เพราะจะทำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็กกำลังจะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่า สามารถช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เพียเจต์เน้นความสำคัญของการเข้าใจธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กมากกว่าการกระตุ้นเด็กให้มีพัฒนาการเร็วขึ้น เพียเจต์สรุปว่า พัฒนาการของเด็กสามารถอธิบายได้โดยลำดับระยะพัฒนาทางชีววิทยาที่คงที่ แสดงให้ปรากฏโดยปฏิสัมพันธ์ของเด็กกับสิ่งแวดล้อม และ บรูนเนอร์ (Bruner) เชื่อว่า การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ซึ่งนำไปสู่การค้นพบการแก้ปัญหา บรูนเนอร์ เรียกว่า เป็นวิธีการเรียนรู้โดยการค้นพบ (Discovery Approach) หรือนักการศึกษาบางท่านนิยมเรียกว่าการเรียนรู้ด้วยการสอบสืบ (Inquiry learning) แต่นักการศึกษาบางท่านได้ให้ความแตกต่างของการเรียนรู้โดยการค้นพบและการเรียนรู้แบบการสอบสืบแตกต่างกันคือ การเรียนรู้โดยการค้นพบครูเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งที่จะให้นักเรียนเรียนรู้ และวัตถุประสงค์ของบทเรียนพร้อมด้วยคำถาม โดยตั้งความคาดหวังว่านักเรียนจะเป็นผู้ค้นพบคำตอบด้วยตนเอง ส่วนการเรียนรู้ด้วยการสอบสืบมีวัตถุประสงค์ที่จะฝึกนักเรียนให้เป็นผู้ที่สามารถชี้ว่าปัญหาคืออะไร จากข้อมูลที่มีอยู่และหาวิธีว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไรโดยใช้ข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่

การจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านตันหยง จังหวัดยะลา ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร สืบเนื่องมาจากปัญหาการใช้ภาษามลายูท้องถิ่นในชีวิตประจำวัน มากกว่าการใช้ภาษาไทย ส่งผลให้นักเรียนเรียนรู้การใช้ภาษาไทยได้ค่อนข้างช้า นักเรียนขาดทักษะในการอ่าน ไม่สามารแปลความหมายจากสิ่งที่อ่านได้ จนส่งผลให้นักเรียนไม่อยากอ่านหนังสือ เมื่อครูขาดการเสริมสร้างความสนใจก่อนที่จะสอนอ่าน ขาดหนังสือกระตุ้นความสนใจให้นักเรียนอยากอ่าน นักเรียนจึงไม่ได้รับการกระตุ้นและส่งเสริมให้เกิดนิสัยรักการอ่าน สอดคล้องกับรายงานการวิจัยของกรมวิชาการเรื่อง การศึกษาสภาพการอ่านของนักเรียนและการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในโรงเรียน ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีผลด้านลบต่อการอ่านของนักเรียนคือ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในโรงเรียนยังมีน้อยและนักเรียนไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรม นักเรียนมีปัญหาทางด้านการเขียนสะกดคำไม่ถูกต้องและอ่านไม่เป็น ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนต่ำมีผลต่อการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นอีกด้วย นอกจากนี้นักเรียนส่วนใหญ่ยังมีเจตคติที่ไม่ดีต่อการเรียนภาษาไทย รู้สึกเบื่อหน่าย ไม่สนใจเรียน ขาดเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิชาภาษาไทย เพราะเนื้อหายาก และซับซ้อน ทั้งยังขาดความรู้ความเข้าใจพื้นฐานในการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกด

จากเหตุผลดังกล่าว ในฐานะครูผู้สอนภาษาไทยจึงมองเห็นความสำคัญและมีความต้องการอย่างมากในการสร้างหนังสือส่งเสริมการอ่าน อันเป็นเครื่องมือที่จะช่วยการเรียนรู้ตัวเองได้เป็นอย่างดี ผู้วิจัยมีความสนใจสร้างหนังสือส่งเสริมการอ่านชุด มาตราตัวสะกด จำนวน ๘ เล่ม ดังนี้

เล่มที่ ๑ แม่นกกับลูกนกทั้งหก

เล่มที่ ๒ ฟารุด – ฟิตเดาส์

เล่มที่ ๓ กบกับตะขาบ

เล่มที่ ๔ โรงเรียนของฉัน

เล่มที่ ๕ แม่กุญแจตามหาลูก

เล่มที่ ๖ กินขนมอะไรดี

เล่มที่ ๗ ตามีกับยายมา

เล่มที่ ๘ เที่ยวสวนสัตว์

กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้ใช้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ทั้งยังมีความรู้ที่กว้างขวางมากขึ้น ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนได้และเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย และเป็นข้อมูลในการพัฒนาหรือการสร้างหนังสือส่งเสริมการอ่านที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป

๒) วัตถุประสงค์การวิจัย

๑. เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของหนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดมาตราตัวสะกดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ตามเกณฑ์มาตรฐาน ๘๐/๘๐

๒. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดมาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านตันหยง อำเภอยะหา จังหวัดยะลาก่อนเรียนและหลังเรียนปีการศึกษา ๒๕๕๘ โรงเรียนบ้านตันหยง อำเภอยะหา ตำบลบาโร๊ะจังหวัดยะลา

๓. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยหนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒

๓) วิธีดำเนินการ

๓.๑ ขั้นเตรียมการ

๓.๑.๑ ศึกษาค้นคว้า หนังสือ ตำรา เอกสารทางวิชาการ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

๓.๑.๒ ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.๒๕๕๑กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

๓.๑.๓ ศึกษาหนังสือ ตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างคำในภาษาไทย

๓.๑.๔ ศึกษาหนังสือ ตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

๓.๑.๕ ศึกษาหนังสือ ตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหนังสือส่งเสริมการอ่าน

๓.๑.๖ ศึกษาหนังสือ ตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์

๓.๑.๗ ศึกษาหนังสือ ตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ

กลุ่มเป้าหมาย

นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ห้อง ๑ โรงเรียนบ้านตันหยง อำเภอยะหา จังหวัดยะลาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๒ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๘จำนวน ๒๖ คนได้มาโดยวิธีเลือกแบบเจาะจง

๓.๒ ขั้นการสร้าง และหาประสิทธิภาพเครื่องมือ

๓.๒.๑ หนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดมาตราตัวสะกด จำนวน ๘ เล่ม ได้แก่

เล่มที่ ๑ แม่นกกับลูกนกทั้งหก

เล่มที่ ๒ ฟารุด – ฟิตเดาส์

เล่มที่ ๓ กบกับตะขาบ

เล่มที่ ๔ โรงเรียนของฉัน

เล่มที่ ๕ แม่กุญแจตามหาลูก

เล่มที่ ๖ กินขนมอะไรดี

เล่มที่ ๗ ตามีกับยายมา

เล่มที่ ๘ เที่ยวสวนสัตว์

๓.๒.๒ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกด

๓.๓ เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่

๓.๓.๑ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกด

๓.๓.๒ แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่มีต่อการเรียนด้วยหนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดมาตราตัวสะกด

หนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดมาตราตัวสะกด ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยลำดับ ดังนี้

๑. ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ได้แก่

๑.๑ ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับหลักการ แนวคิด ทฤษฎี วิธีสร้างหนังสือส่งเสริมการอ่านจาก

เอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางในการจัดเนื้อหา และสร้างหนังสือส่งเสริมการอ่าน

๑.๒ ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

๑.๓ วิเคราะห์เนื้อหาสาระเกี่ยวกับ มาตราตัวสะกด เพื่อนำมาสร้าง หนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดมาตราตัวสะกด

๒. กำหนดเนื้อหา ชุดมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ แล้วแบ่งเนื้อหาที่จะสอนออกเป็นตอนย่อยๆ กำหนดจุดมุ่งหมายการเรียน เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างบทเรียนสำเร็จรูป โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น ๘ เล่ม ดังนี้

เล่มที่ ๑ แม่นกกับลูกนกทั้งหก

เล่มที่ ๒ ฟารุด – ฟิตเดาส์

เล่มที่ ๓ กบกับตะขาบ

เล่มที่ ๔ โรงเรียนของฉัน

เล่มที่ ๕ แม่กุญแจตามหาลูก

เล่มที่ ๖ กินขนมอะไรดี

เล่มที่ ๗ ตามีกับยายมา

เล่มที่ ๘ เที่ยวสวนสัตว์

๓. วางโครงเรื่องที่จะเขียน โดยเรียบเรียง และลำดับเนื้อหาก่อนหลัง แบ่งเนื้อหาแต่ละตอนเป็น

หน่วยย่อยๆ ซึ่งเรียกว่า กรอบ จากง่ายไปหายาก กำหนดเนื้อหาแต่ละกรอบ ตั้งแต่กรอบเริ่มต้น จนถึงกรอบสุดท้าย ให้ตรงกับจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้

๔. พัฒนาหนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดมาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ จำนวน ๘ เล่ม แต่ละเล่ม ประกอบด้วย คำนำ คำแนะนำสำหรับครู คำแนะนำในการเรียน จุดประสงค์การเรียนรู้ แบบทดสอบก่อนเรียน เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน เนื้อหาสาระ กิจกรรมเสริมทักษะ แบบทดสอบหลังเรียน เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจ

๕. นำหนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุด มาตราตัวสะกด ที่สร้างขึ้นให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัด และประเมินผล และผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องมือ จำนวน ๕ คน ได้แก่

๑. นางกาญจนา จองเดิม

๒. นายธีระศักดิ์ บุญฤทธิ์

๓. นางขนิษฐา วงศ์พิพัฒน์กุล

๔. นางผุสดี โล่ห์ชัย

๕. นางจุฑามาศ แอบไธสง

ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา และประเมินความเหมาะสม โดยกำหนดเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้

๕ หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด

๔ หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก

๓ หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับปานกลาง

๒ หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับน้อย

๑ หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับน้อยที่สุด

เกณฑ์การให้ความหมายค่าเฉลี่ย กำหนดตามเกณฑ์ของ บุญชม ศรีสะอาด (๒๕๔๑ : ๑๖๑)

คะแนนเฉลี่ย ๔.๕๑ – ๕.๐๐ หมายถึง เหมาะสมมากที่สุด

คะแนนเฉลี่ย ๓.๕๑ – ๔.๕๐ หมายถึง เหมาะสมมาก

คะแนนเฉลี่ย ๒.๕๑ –๓.๕๐ หมายถึง เหมาะสมปานกลาง

คะแนนเฉลี่ย ๑.๕๑ – ๒.๕๐ หมายถึง เหมาะสมน้อย

คะแนนเฉลี่ย ๑.๐๐ – ๑.๕๐ หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด

๖. นำข้อคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าความเหมาะสมของหนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดมาตราตัวสะกด ค่าความเหมาะสมมากกว่าหรือเท่ากับ ๓.๕๐ ขึ้นไป ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ความเหมาะสมที่ยอมรับได้ ค่าความเหมาะสมของหนังสือส่งเสริมการอ่านมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ ๔.๕๓ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๐.๒๒ ซึ่งเป็นค่าความเหมาะสมที่ผ่านเกณฑ์การประเมิน และได้นำเสนอแนะพร้อมทั้งแนวทางการแก้ไขกลับมาปรับปรุงหนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดมาตราตัวสะกด

๗. นำหนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดมาตราตัวสะกด ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านตันหยง อำเภอยะหา จังหวัดยะลา ดังนี้

๗.๑ การทดลองใช้และหาประสิทธิภาพของหนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดมาตราตัวสะกด ครั้งที่ ๑ สัดส่วน ๑ : ๑ : ๑ กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ภาคเรียนที่ ๑ปีการศึกษา ๒๕๕๘ โรงเรียนบ้านตันหยง อำเภอยะหา จังหวัดยะลา จำนวน๓ คน โดยมีนักเรียนเก่ง ๑ คน ปานกลาง ๑ คน และนักเรียนที่เรียนอ่อน ๑ คน ทดลองใช้ระหว่างวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ถึง วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ผู้วิจัยให้นักเรียนเรียนโดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดมาตราตัวสะกด ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อตรวจสอบว่า นักเรียนว่ามีความรู้ความเข้าใจถึงเรื่องมาตราตัวสะกดหรือไม่ ขณะที่นักเรียนกำลังเรียนโดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน เรื่องชุดมาตราตัวสะกด ผู้วิจัยอยู่กับนักเรียนตลอดเวลา เพื่อให้นักเรียนได้ซักถามเมื่อไม่เข้าใจ และทำให้ผู้วิจัยได้ทราบข้อบกพร่องของหนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ แล้วนำไปปรับปรุงแก้ไข

๗.๒ การทดลองใช้ และหาประสิทธิภาพของหนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดมาตราตัวสะกด ครั้งที่ ๒ แบบกลุ่ม กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๘ โรงเรียนบ้านตันหยง อำเภอยะหา จังหวัดยะลา จำนวน ๙ คน โดยมีนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับเก่ง จำนวน ๓ คน ปานกลาง ๓ คน และนักเรียนที่เรียนอ่อน ๓ คน ทดลองใช้ระหว่างวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ถึง ๓ สิงหาคม ๒๕๕๘ ผู้วิจัยใช้วิธีการเดียวกับการทดลองใช้ครั้งที่ ๑ แบบเดี่ยว นำผลการทดลองมาปรับปรุงในส่วนของคำชี้แจงและรูปภาพให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น

๗.๓ การทดลองใช้และหาประสิทธิภาพของหนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดมาตราตัวสะกด ครั้งที่ ๓ แบบกลุ่ม กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๘ โรงเรียนบ้านตันหยง อำเภอยะหา จังหวัดยะลา จำนวน ๑๘ คน ระหว่างวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๘ ถึง ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๘ ผู้วิจัยใช้กระบวนการเรียนการสอนเช่นเดียวกับที่จะนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างโดยการประเมินผลการเรียนรู้จากการทำแบบทดสอบก่อนเรียน หลังเรียนและการปฏิบัติกิจกรรม เพื่อหาประสิทธิภาพของหนังสือส่งเสริมการอ่าน ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนและทำให้ผู้วิจัยได้ทราบข้อบกพร่องของหนังสือส่งเสริมการอ่าน แล้วนำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป นำผลการทดสอบภาคสนามที่ได้ มาหาประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูป พบว่า ประสิทธิภาพโดยรวม เท่ากับ ร้อยละ ๘๑.๓๒/๘๑.๖๗ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ ๘๐/๘๐ ที่ตั้งไว้

๗.๔ ผู้วิจัยได้หนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่มีคุณภาพแล้ว เพื่อนำไปใช้กับนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย

เว็บน่าสนใจ