เรื่อง การพัฒนารูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1
ผู้วิจัย นายเทียนชัย พลรัตน์
หน่วยงาน โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย
เขต 1 อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย
ปีที่วิจัย ปีการศึกษา 2567
บทคัดย่อ
การวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน สำหรับการพัฒนารูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 2) พัฒนารูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 3) นำรูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ไปใช้ในสถานศึกษา และ 4) ประเมินรูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ออกแบบรูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ PRIDE ที่ประกอบด้วย 5 ขั้น คือ ขั้นที่ 1 วางแผนการนิเทศ (Planning-P) ขั้นที่ 2 สร้างเสริมกำลังใจ (Reinforcing-R) ขั้นที่ 3 ให้ความรู้ ความเข้าใจในการทำงาน (Informing-I) ขั้นที่ 4 ลงมือปฏิบัติงาน (Doing-D) มี 5 กิจกรรม คือ 1) Lesson plan ครูผู้สอนออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 2) Teach& Observe สอนและการสังเกตชั้นเรียน 3) Reflect การสะท้อนผลการสังเกตชั้นเรียน 4) Adjust การปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ 5) Reteach นำแผนไปจัดกิจกรรมการสอนใหม่ และขั้นที่ 5 ประเมินการนิเทศ (Evaluating-E) ภายใต้แนวคิดแนวคิดการบริหารโรงเรียนที่มีประสิทธิผล 3 ระดับคือ 1) ประสิทธิผลระดับสถานศึกษา 2) ประสิทธิผลระดับครู และ3) ประสิทธิผลระดับนักเรียน ดำเนินการวิจัยและพัฒนา 4 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐานสำหรับการพัฒนารูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ระยะที่ 3 การนำรูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ไปใช้ในสถานศึกษา ระยะที่ 4 การประเมินรูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูในโรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง จำนวน 20 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ คู่มือการใช้รูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1
ผลการวิจัย พบว่า
การวิจัยเรื่อง รูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ปรากฏผลการวิจัย สรุปได้ดังนี้
1. ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน สำหรับการพัฒนารูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 พบว่า
1.1 องค์ประกอบของรูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 มีองค์ประกอบองค์ 6 องค์ประกอบ คือ 1) แนวคิดพื้นฐาน 2) วัตถุประสงค์ 3) กระบวนการ 4) บทบาทของผู้เกี่ยวข้อง 5) เครื่องมือ 6) การติดตามและประเมินผล ส่วนองค์ประกอบด้านกระบวนการนิเทศแบบ PRIDE ที่ประกอบด้วย 5 ขั้น คือ ขั้นที่ 1 วางแผนการนิเทศ (Planning-P) ขั้นที่ 2 สร้างเสริมกำลังใจ (Reinforcing-R) ขั้นที่ 3 ให้ความรู้ ความเข้าใจในการทำงาน (Informing-I) ขั้นที่ 4 ลงมือปฏิบัติงาน (Doing-D) มี 5 กิจกรรม คือ 1) Lesson plan ครูผู้สอนออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 2) Teach& Observe สอนและการสังเกตชั้นเรียน 3) Reflect การสะท้อนผลการสังเกตชั้นเรียน 4) Adjust การปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ 5) Reteach นำแผนไปจัดกิจกรรมการสอนใหม่ และขั้นที่ 5 ประเมินการนิเทศ (Evaluating-E) และองค์ประกอบด้านประสิทธิผลของสถานศึกษาที่มี 3 ระดับ คือ ประสิทธิผลระดับโรงเรียน ประสิทธิผลระดับครู และประสิทธิผลระดับนักเรียน
1.2 สภาพปัจจุบันของการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ด้านกระบวนการนิเทศ มีพฤติกรรมที่ปฏิบัติโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยที่มีพฤติกรรมการปฏิบัติจากมากไปหาน้อยได้แก่ ด้านประเมินการนิเทศ ด้านวางแผนการนิเทศ (Planning-P) ด้านการสร้างเสริมกำลังใจ (Reinforcing-R) ด้านลงมือปฏิบัติงาน (Doing-D) และด้านความเข้าใจในการทำงาน (Informing-I) ในด้านการลงมือปฏิบัติงาน (Doing-D) หากพิจารณาเป็นรายกิจกรรม พบว่า กิจกรรม Adjust การปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ มีการปฏิบัติมากที่สุด รองลงมาคือ กิจกรรม Lesson plan ครูผู้สอนออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ส่วนกิจกรรม Reteach นำแผนไปจัดกิจกรรมการสอนใหม่ ส่วนด้านประสิทธิผลของสถานศึกษา พบว่า โดยรวมมีพฤติกรรมการปฏิบัติในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่ามีพฤติกรรมการปฏิบัติในระดับปานกลางทุกด้าน
1.3 สภาพที่พึงประสงค์ของการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ด้านกระบวนการนิเทศ มีระดับความคาดหวังโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดคือด้านความเข้าใจในการทำงาน (Informing-I) รองลงมาเป็นด้านวางแผนการนิเทศ (Planning-P) ส่วนสภาพที่พึงประสงค์ที่มีระดับความคาดหวังมาก เรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อยได้แก่ ด้านประเมินการนิเทศ (Evaluating-E) ด้านลงมือปฏิบัติงาน (Doing-D) และลำดับสุดท้ายคือด้านการสร้างเสริมกำลังใจ (Reinforcing-R) ในด้านการลงมือปฏิบัติงาน (Doing-D) หากพิจารณาเป็นรายกิจกรรม พบว่า กิจกรรมที่มีระดับความคาดหวังเรีบงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ กิจกรรม Lesson plan ครูผู้สอนออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ กิจกรรม Teach& Observe สอนและการสังเกตชั้นเรียน กิจกรรม Reflect การสะท้อนผลการสังเกตชั้นเรียน กิจกรรม Adjust การปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ และกิจกรรม Reteach นำแผนไปจัดกิจกรรมการสอนใหม่ ส่วนด้านประสิทธิผลของสถานศึกษา มีระดับความคาดหวังโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่ามีความคาดหวังระดับมากที่สุดทุกด้าน
1.4 ความต้องการจำเป็นในการพัฒนารูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ต้องการพัฒนาด้านการให้ความรู้ ความเข้าใจในการทำงาน (Informing-I) เป็นลำดับแรก รองลงมาคือ ด้านวางแผนการนิเทศ (Planning-P) ด้านการลงมือปฏิบัติงาน (Doing-D) ด้านประเมินการนิเทศ (Evaluating-E) และด้านการสร้างเสริมกำลังใจ (Reinforcing-R) ส่วนความต้องการจำเป็นด้านประสิทธิผลของสถานศึกษา พบว่าประสิทธิผลระดับนักเรียน มีความต้องการจำเป็นให้เกิดผลลลัพธ์มากที่สุด รองลงมาคือ ประสิทธิผลระดับนักเรียน และประสิทธิผลระดับครู และเนื้อหาที่ต้องการได้รับการเติมเต็มมากที่สุดคือ การจัดการเรียนการสอนเชิงรุกและการพัฒนาบทเรียนร่วมกัน (Lesson Study)
2. ผลพัฒนารูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 พบว่ามี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) แนวคิดพื้นฐาน 2) วัตถุประสงค์ 3) กระบวนการ 4) บทบาทของผู้เกี่ยวข้อง 5) เครื่องมือ 6) การติดตามและประเมินผล ผลการประเมินรูปแบบมีความสอดคล้องและเหมาะสมทุกองค์ประกอบ
3. ผลการนำรูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ไปใช้ในสถานศึกษา พบว่า ประสิทธิผลระดับครู พบว่าครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พบว่าครูมีความเข้าใจและสามารถออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกได้ดีขึ้น ประสิทธิผลระดับนักเรียน พบว่า ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ มีทักษะคิดวิเคราะห์และการทำงานกลุ่ม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น และมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์เป็นไปตามเกณ์ที่โรงเรียนกำหนด ส่วนประสิทธิผลระดับโรงเรียน พบว่า โรงเรียนมีวิธีการปฏิบัติที่ดีเด่น (Best Practice) ที่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับหน่วยงานอื่นได้และเป็นที่พึงพอใจและยอมรับของผู้เกี่ยวข้อง ส่วนผลการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยคือ ด้านรูปแบบการนิเทศภายใน โดยพบว่าพึงพอใจมากที่สุดคือ ขั้นตอนการนิเทศภายใน ชัดเจนและระยะเวลาในการนิเทศภายในมีความเหมาะสม ลำดับที่ 2 ด้านคุณภาพ/ผลลัพธ์ ของการนิเทศ พบว่ามีความพึงพอใจมากที่สุดที่ผู้รับการนิเทศภายใน มีความรู ความเขาใจในการ วางแผนหรือออกแบบกิจกรรม รองลงมาคือการนิเทศภายใน ช่วยใหผู้รับการนิเทศ ปฏิบัติงานได้ดียิ่งขึ้น ลำดับที่ 3 ด้านบุคลากรผู้ใหการนิเทศ โดยพบว่ามีความพึงพอใจมากที่สุดคือ ความรูความสามารถในเรื่องที่ทำการนิเทศภายใน และการเปิดโอกาสใหผู้รับการนิเทศภายในได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ลำดับสุดท้ายคือ ด้าน สิ่งอํานวยความสะดวก โดยพบว่ามีความพึงพอใจมากที่สุดคือ เครื่องมือในการนิเทศภายใน
4. ผลการประเมินคุณภาพของรูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 ด้านความเป็นประโยชน์ มีความคิดเห็นว่าเป็นประโยชน์มากที่สุด คือรูปแบบการนิเทศภายในช่วยสร้างความตระหนักในการจัดการเรียนรู้ของครู ด้านความเหมาะสม มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด คือ รูปแบบการนิเทศภายในมีความเหมาะสมกับแนวทางการดำเนินงานด้านการพัฒนาบุคลากร ด้านความถูกต้อง มีความถูกต้องมากที่สุด คือ จุดมุ่งหมายของการพัฒนารูปแบบการนิเทศภายในมีความชัดเจน ด้านความเป็นได้ มีความเป็นไปได้มากที่สุด คือกระบวนการพัฒนารูปแบบการนิเทศภายในมีความสอดคล้องกับเป้าหมาย และด้านความครอบคลุม มีความเหมาะสมมากที่สุดคือ มีเกณฑ์การประเมินผลที่ครบถ้วนตามวิธีการประเมินผลแต่ละขั้นตอนของการพัฒนารูปแบบการนิเทศภายใน
ดังนั้นรูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการ PRIDE เพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา โรงเรียนบ้านกวดโคกสว่าง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 มีประสิทธิภาพในการพัฒนาคุณภาพครู ยกระดับผู้เรียน และเสริมสร้างประสิทธิผลของสถานศึกษาอย่างรอบด้าน และสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในโรงเรียนอื่นได้อย่างเหมาะสม.