วิจัยในชั้นเรียน
เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/2 โดยใช้แบบอ่านการออกเสียงภาษาอังกฤษ Phonics
ผู้วิจัย นางวัลยา ตาดเดิม
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
ในการเรียนภาษาอังกฤษ การออกเสียงมีความสำคัญและเป็นทักษะที่จำเป็นในการเรียนรู้ เพราะหากผู้เรียนไม่สามารถอ่านออกเสียงได้ก็จะทำให้การเรียนแต่ละครั้งพบปัญหาและอุปสรรค ผู้วิจัยพบว่ามีเสียงอักษรภาษาอังกฤษอยู่หลายเสียงที่ไม่มีในภาษาไทยและมีเสียงจำนวนหนึ่งที่คล้ายกับเสียงภาษาไทย นักเรียนจึงใช้เสียงภาษาไทยแทนเสียงภาษาอังกฤษ การใช้เสียงภาษาไทยแทน มักทำให้เกิดความไม่เข้าใจ หรือบางครั้งความหมายของคำเปลี่ยนไป ดังนั้นจึงจำเป็นต้องออกเสียงภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง ในการเรียนภาษาอังกฤษนักเรียนจะรู้เพียงคำศัพท์และโครงสร้างประโยคเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ควรเปล่งเสียงที่เจ้าของภาษาฟังแล้วสามารถเข้าใจได้ นอกจากนี้การพูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงภาษาไทยทำให้การสื่อสารอาจจะทำให้เจ้าของภาษาเข้าใจได้ ไม่ชัดเจน และเนื่องจากนักเรียนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ จึงพูดได้ไม่คล่องแคล่วเท่าที่ควร การพูดภาษาอังกฤษจะคล่องแคล่วหรือไม่ขึ้นอยู่กับความรู้ การฝึกฝนการออกเสียงและการมีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ
ดังนั้น การออกเสียงภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่จะช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ และพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษ ในด้านการอ่านออกเสียงคำศัพท์ใหม่ ๆ และช่วยให้นักเรียนอ่านแล้วเกิดความมั่นใจมากยิ่งขึ้น โดยเสริมแบบฝึกทักษะการอ่าน นอกจากนี้การออกเสียงที่ดีและถูกต้องสำคัญต่อการพูดและการฟังในการสื่อสาร และยังช่วยสื่อความหมายเกิดประสิทธิภาพและเป็นผลดีต่อการดำเนินชีวิต ซึ่งล้วนแล้วแต่มีการออกเสียงเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญ
วัตถุประสงค์การวิจัย
เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ ความสามารถในทักษะกระบวนการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษได้เพิ่มขึ้น
คำถามการวิจัย
1. การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนเป็นอย่างไร
2. การฝึกให้นักเรียนได้อ่านออกเสียงภาษาอังกฤษโดยใช้แบบอ่านการออกเสียงภาษาอังกฤษ Phonics
ทำให้การอ่านของนักเรียนดีขึ้นอย่างไร
ตัวแปรที่วิจัย
แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ Phonics
การวิจัยครั้งนี้เป็นการสร้างแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ Phonics สำหรับให้นักเรียนศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง และเพื่อให้นักเรียนเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน เห็นคุณค่าของภาษา อีกทั้งยังเป็นการช่วยเสริมสร้างทักษะและนิสัยรักการอ่านให้แก่นักเรียน ผู้วิจัยจึงใช้รูปภาพประกอบและแบบฝึกหัดที่หลากหลายเพื่อช่วยพัฒนาการอ่าน และได้เก็บคะแนนจากการทำแบบฝึกหัด เพื่อศึกษาพัฒนาการของนักเรียนหลังจากที่ได้มีการอ่านว่านักเรียนมีความแตกต่างหรือพัฒนาขึ้นหรือไม่
ขอบเขตของการวิจัย
ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ เพื่อพัฒนาการอ่าน Phonics ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/2 และได้กำหนดขอบเขตการวิจัยไว้ดังนี้
1. ประชากรที่จะใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนโรงเรียนพรหมานุเคราะห์ ที่กาลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/2 ในภาคเรียนที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2565 จำนวน 20 คน
2. เนื้อหาที่ใช้ในการจัดทำแบบอ่านการออกเสียงภาษาอังกฤษให้ Phonics เหมาะสมกับนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
วิธีการดำเนินการวิจัย
ขั้นตอนการดำเนินการ
การจัดทำแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ ได้แบ่งวิธีดำเนินการตามลำดับดังนี้
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2. เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง
3. วิธีการสร้างเครื่องมือ
4. การดำเนินการทดลอง
5. การวิเคราะห์ข้อมูล
6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 20 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1. แบบทดสอบก่อนเรียน
2. แบบฝึกเสริมทักษะและสื่อการเรียนรู้
3. แบบทดสอบหลังเรียน
วิธีสร้างเครื่องมือในการวิจัย
การจัดทำแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ
1. ขั้นการสร้างเครื่องมือ
1.1 ศึกษาสภาพปัญหา เอกสารที่เกี่ยวข้อง
1.2 ศึกษาวิธีการจัดทำแบบฝึกเสริมทักษะการอ่าน
1.3 เลือกเรื่อง
1.4 จัดทำแบบฝึกเสริมทักษะการอ่าน
วิธีการดำเนินการสอน
ผู้จัดทำได้ดำเนินการใช้เครื่องมือ ดังนี้
1. ทดสอบการอ่านของนักเรียน
2. ใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษแบบ Phonics
3. ทดสอบการอ่านของนักเรียน
การวิเคราะห์ข้อมูล
หาคะแนนการอ่านที่ได้จากการทดสอบมาเปรียบเทียบก่อนและหลังเรียน
ค่าสถิติที่ใช้ในการวิจัย
ค่าเฉลี่ย
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
จากการทดสอบการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษโดยใช้แบบอ่านการออกเสียงภาษาอังกฤษ Phonics กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ผลปรากฏว่า ผลคะแนนเมื่อผู้วิจัยทาการสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ หลังเรียนจะมีค่าสูงกว่าก่อนการเรียน เพราะผู้เรียนเกิดทักษะและความชำนาญ อันมีผลมาจากแรงจูงใจและความสนุกสนานในการร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง นักเรียนมีผลคะแนนทางการเรียนสูงขึ้นหลังการเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษนั้น เนื่องจากนักเรียนได้ทราบหลักการออกเสียงที่ถูกต้อง ออกเสียงสระ อักษร การเน้นเสียง การโยงเสียง การใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ในการออกเสียงแต่ละเสียง ทำให้นักเรียนสามารถออกเสียงได้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากยิ่งขึ้น
สรุปผลการวิจัย
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลการออกเสียงภาษาอังกฤษ หลังการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ และเพื่อพัฒนาทักษะการออกเสียงโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ จากการวิเคราะห์ข้อมูล คะแนนทดสอบการอ่านก่อนและหลังเรียน แบบอ่านการออกเสียงภาษาอังกฤษ Phonics ผลปรากฏว่า ก่อนเรียนนักเรียน มีคะแนนเฉลี่ยที่ 56.05 เมื่อพัฒนาทักษะโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ ผลปรากฏว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยที่ 75.35 มีคะแนนเพิ่มขึ้น 19.3ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักเรียนมีการพัฒนาทักษะในการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษดีขึ้น
ข้อเสนอแนะ
นอกจากวิธีการในการสอนออกเสียงในงานวิจัยนี้ที่เป็นการฝึกพูดช้า ๆ ตามแบบฝึกแล้ว ครูผู้สอนอาจเปลี่ยนแปลงกิจกรรมในรูปแบบอื่นๆ ได้ เช่น การเล่นเกมแข่งขันการอ่านออกเสียง การแข่งขันอ่านบัตรคำศัพท์ การร้องเพลงคาราโอเกะเพื่อเพิ่มความสนใจให้กับผู้เรียนยิ่งขึ้น